หลังจากหายตัวไปญี่ปุ่นมาสองสัปดาห์ กลับมาเมืองไทย...ภาวะการเมืองและความคิดเห็นทางการเมืองก็ร้อนระอุได้ที่
ส่วนตัวคนวาดเชื่อว่าการตื่นตัวทางการเมืองและแสดงออกทางการเมืองโดยไม่ใช่วิธีโปรยคำผรุสวาทบนเฟซบุ๊ครวมทั้งไม่ใช้ความรุนแรงเป็นเรื่องดีค่ะ แต่อย่างไรก็ตามเวลาแบบนี้ ก็มักจะมีสงครามการเชือดเฉือนด้วยวาจาหรือสเตตัสต่างๆในโลกโซเชียลอยู่ดี พอเจอมากๆ คนวาดใจเล็กก็มักจะหันไปพักใจมองเด็กเล็กๆที่ยังไร้เดียงสาแก้อาการเครียดกับไปเล่นกับแมวค่ะ ไม่รู้ว่าคนอื่นมีวิธีอะไรบ้างนะคะ
ปกติ เอมโม่ไม่ค่อยชอบเด็กค่ะโดยเฉพาะเด็กที่ถูกปรุงแต่งให้บุคลิกภายนอกเกินวัย แต่ก็ชักเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณปู่หรือคุณย่า (แม้แต่ยักษ์!) ใจร้ายหน้าหงิกในวรรณกรรมเยาวชนถึงมักเสียท่าถูกเด็กๆดัดนิสัยได้ในที่สุด
ความบริสุทธิ์จริงใจคงเหมือนน้ำสะอาดที่เทลงไปล้างใจเลอะๆนะคะ เทน้ำลงไปมากๆสม่ำเสมอก็พอจะล้างรอยเลอะได้บ้าง
เขียนถึงเด็กๆ เลยเอารูปเด็กๆที่ตัวเองไม่ค่อยได้วาดมาประกอบไปด้วย :)
11 ธันวาคม 2556
4 ตุลาคม 2556
จิตวิญญาณของป่า
ที่ประเทศไทย ตอนนี้ในบรรดาผู้คนที่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม นักอนุรักษ์ทั้งตัวจริงและสมัครเล่น คนรักต้นไม้ คนรักสัตว์ป่ากำลังสนใจในเรื่องการบริหารจัดการน้ำและการสร้างเขื่อนค่ะ
ประเด็นที่สนใจก็มีทั้งเรื่องการคอรัปชั่น ความคุ้มค่าในการก่อสร้างและเรื่องระบบนิเวศที่จะเสียไปหากมีการใช้พื้นที่ป่าไม้มาเป็นพื้นที่เขื่อน ความเดือดร้อนของคนในพื้นที่น้ำท่วมถึงซึ่งพบกับน้ำท่วมทุกปี
มีการเดินเท้าเพื่อคัดค้านรายงานผลการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อ
ตัวฉันเองก็ไปร่วมเดินเท้าเพื่อคัดค้านด้วย ในช่วงระยะเดินในกรุงเทพ ตั้งแต่หน้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ถึงหอศิลป์ กทม. ที่ไปไม่ใช่เพราะเป็นนักอนุรักษ์ตัวยง แต่เพื่อความเชื่อของตนเองที่มีว่าเราต้องเคารพพื้นที่ดำรงชีวิตของกันและกัน ทั้งคนและสัตว์ ทุกชีวิตมีความเท่าเทียมกันก็แค่ตรงนี้ค่ะ แค่การมีสิทธิ์มีชีวิตบนโลก
สำหรับคนที่เชื่อว่าในทุกสิ่งรอบตัว ถึงไม่มีชีวิตเดินเหินได้อย่างสิ่งมีชีวิตอื่นๆแต่หากได้รับความผูกพัน ได้มีโอกาสอยู่บนโลกนี้เพียงพอ...ต้องมีจิตวิญญาณในนั้นแน่ๆอย่างฉัน การออกเสียงตัวเองแทนจิตวิญญาณเหล่านั้นเป็นเรื่องสำคัญค่ะ ดังนั้นสิ่งใดที่ทำแล้วไม่เบียดเบียนตัวเองนักก็อยากจะทำให้เพื่อจิตวิญญาณเหล่านั้น
ในหมู่คนที่รักศิลปะ ทั้งสนใจในการวาดรูปและสนใจในภาพถ่ายก็มีการรวมตัวกันเพื่อแชร์งานของตนเองที่ทำเป็น Cover Photo สำหรับ facebook เพื่่อคัดค้าน EHIA ชิ้นนี้และต่อต้านเขื่อนค่ะ ตัว aimmo เองก็มีน้องที่รู้จักกันชักชวนให้ร่วมโครงการนี้ด้วย ถึงแม้เราจะเป็นแค่นักวาดภาพสมัครเล่น
ภาพข้างบนนี้คือภาพที่ฉันวาดเพื่อร่วมโครงการค่ะ มีการปรับขนาดภาพในพอดีขนาด cover photo แล้วต่างจากนี้บ้างแต่ไม่มาก ส่วนภาพข้างล่างตือความรู้สึกของฉันเอง
จิตวิญญาณของพื้นแผ่นดิน ผืนป่าที่เกื้อกูลกันและกันกับสรรพสัตว์และต้นไม้คงรู้สึกเจ็บปวดแบบนี้
ถ้าภาพของฉันจะทำให้ใครสักคนรับรู้และเข้าใจความเจ็บปวดนี้ได้ ฉันก็พอใจค่ะ แต่ถ้ามันสะเทือนความรู้สึกถึงคนหมู่มากได้ก็ยิ่งยินดี ฉันจึงวาดและนำสองภาพนี้มาโพส :)
24 กันยายน 2556
วาดภาพแบบอนาล็อกผสมดิจิตอล :P
ไม่ได้อัพบล็อกซะนานเพราะเข้าใช้ blogspot ไม่ได้และเข้า gmail ไม่ได้ด้วย ตอนแรกก็นึกว่าแอคเคานท์โดนแฮ็คหรืออะไรไปไกลเลยนะคะ แต่พอลองเปลี่ยนจาก Chrome มาเป็น Firefox ก็เปิดได้ปกติ
ตลกดี ใช้ Chrome กลับเปิด gmail ไม่ได้ -_-')
ช่วงที่เข้าใช้ gmail ไม่ได้ เป็นช่วงเดียวกับที่เอมได้แท็บเลต Ipad Mini มาพอดี ...โปรเจ็คท์ที่คิดจะซื้อกราฟฟิค แท็บเลตอย่าง Wacom Bamboo เลยพักไว้ก่อนค่ะ มาลองวาดในแท็บเลตธรรมดาๆนี่ก่อนเพราะได้มาโดยไม่ต้องซื้อ ...ไว้ถนัดกว่านี้ก็คงหากราฟฟิคแท็บเลต (ที่ต้องเสียเงินซื้อเอง)มาใช้ทีหลัง
งานวาดมือนั้นสนุกอยู่แล้ว และการได้ทำงานโดยใช้ร่างกายเราสัมผัสจริงกับชิ้นงานมันสร้างความสุขและส่งต่อพลังงานจากสิ่งที่ทำย้อนกลับมาที่มือหรือร่างกายเราด้วยค่ะ ส่วนการวาดผ่านสไตลัสกดลงผิวจอแท็บเลตก็ให้งานอีกแบบ สนุกเหมือนกัน และอาจสดใสฉับไวกว่าและให้ภาพเหมาะสมกับสื่อบางอย่างมากกว่าด้วย แต่ให้พูดตรงๆ เอมคิดว่าแม่เราจะทำงานแบบดิจิตอลเป็นหลักก็ควรแบ่งเวลามาสร้างสรรค์สิ่งต่างๆด้วยมือหรือร่างกายเราโดยตรงบ้าง ในความคิดเรา มันเหมือนการที่เราเดินเท้าเปล่าบนสนามหญ้า บนหาดทรายหรือบนผืนดินค่ะ เรากับสิ่งที่สัมผัสได้ส่งต่อพลังบางอย่างถึงกันจริงๆ
เล่าเรื่อยเปื่อยมาหลายบรรทัดแล้ว ในเมื่อวันนี้พูดถึงงานมือและงานดิจิตอลจึงขอเอารูปนี้มาแปะ รูปที่วาดมือแล้วนำไปลงสีผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์
หวังว่ามันจะสร้างความรู้สึกบางอย่างต่อคนดูค่ะ :)
ตลกดี ใช้ Chrome กลับเปิด gmail ไม่ได้ -_-')
ช่วงที่เข้าใช้ gmail ไม่ได้ เป็นช่วงเดียวกับที่เอมได้แท็บเลต Ipad Mini มาพอดี ...โปรเจ็คท์ที่คิดจะซื้อกราฟฟิค แท็บเลตอย่าง Wacom Bamboo เลยพักไว้ก่อนค่ะ มาลองวาดในแท็บเลตธรรมดาๆนี่ก่อนเพราะได้มาโดยไม่ต้องซื้อ ...ไว้ถนัดกว่านี้ก็คงหากราฟฟิคแท็บเลต (ที่ต้องเสียเงินซื้อเอง)มาใช้ทีหลัง
งานวาดมือนั้นสนุกอยู่แล้ว และการได้ทำงานโดยใช้ร่างกายเราสัมผัสจริงกับชิ้นงานมันสร้างความสุขและส่งต่อพลังงานจากสิ่งที่ทำย้อนกลับมาที่มือหรือร่างกายเราด้วยค่ะ ส่วนการวาดผ่านสไตลัสกดลงผิวจอแท็บเลตก็ให้งานอีกแบบ สนุกเหมือนกัน และอาจสดใสฉับไวกว่าและให้ภาพเหมาะสมกับสื่อบางอย่างมากกว่าด้วย แต่ให้พูดตรงๆ เอมคิดว่าแม่เราจะทำงานแบบดิจิตอลเป็นหลักก็ควรแบ่งเวลามาสร้างสรรค์สิ่งต่างๆด้วยมือหรือร่างกายเราโดยตรงบ้าง ในความคิดเรา มันเหมือนการที่เราเดินเท้าเปล่าบนสนามหญ้า บนหาดทรายหรือบนผืนดินค่ะ เรากับสิ่งที่สัมผัสได้ส่งต่อพลังบางอย่างถึงกันจริงๆ
เล่าเรื่อยเปื่อยมาหลายบรรทัดแล้ว ในเมื่อวันนี้พูดถึงงานมือและงานดิจิตอลจึงขอเอารูปนี้มาแปะ รูปที่วาดมือแล้วนำไปลงสีผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์
หวังว่ามันจะสร้างความรู้สึกบางอย่างต่อคนดูค่ะ :)
12 กันยายน 2556
เมื่อฉันวาดภาพประกอบหนังสือ "ทารกจกเปรตกับบทละครทั้ง 6"
ช่วงต้นปี นิกร แซ่ตั้ง ผู้กำกับละครเวที ผู้เป็นรุ่นพี่คณะที่ฉันนับถือมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยและยังได้ร่วมงานกันในสมัยฉันยังทำงานละครเวทีเล่าถึงโปรเจคท์พิมพ์หนังสือรวมบทละครของเขา เริ่มแรก พี่นิกรตั้งใจเป็นคนออกทุนและจัดพิมพ์หนังสือเองจึงคุยกับฉันซึ่งกำลังอยู่ในช่วงฝึกหัดวาดภาพด้วยตนเองมาสักพักว่า เอม เธอมาวาดรูปประกอบบทละครให้พี่หนึ่งเรื่องสิ
เรื่องที่พี่นิกรมอบหมายให้ฉันวาด คือ เรื่องวันดับฝัน...ระหว่างที่คุยกัน พี่นิกรมีงานละครที่อเมริกา เราคุยกันผ่านเฟซบุ๊คและฉันก็ส่งภาพวาดเพื่อให้พี่นิกรดูแนวทางของภาพเป็นระยะ ผ่านมากลางปี โปรเจคท์นี้จำเป็นต้องพักไว้ก่อน แต่ก็เหมือนโชคเข้าข้างฉัน ในที่สุด โปรเจคท์รวมบทละครก็เริ่มต้นอีกครั้ง โดยมีผู้จัดทำและจัดจำหน่ายคือ Sea Studio
พี่นิกรแนะนำฉันกับทีมงาน Sea Studio ทั้งฉันและทีมงานต่าง"ใหม่" กับงานหนังสือทั้งคู่ (ทีมงานเป็นผู้ผลิตละครโทรทัศน์เป็นหลักและเป็น"ผู้รักละครเวที" มาเนิ่นนาน) เราจึงคุยกันเรื่องงานนี้โดยไม่ใช่ลักษณะธุรกิจจ๋าแต่เป็นการร่วมงานกันเพื่อละครเวทีที่รักมากกว่า และเนื่องจากทีมงานต้องการให้ภาพในหนังสือเป็นไปในทางเดียวกัน ฉันจึงได้รับโอกาสวาดภาพประกอบบทละครทั้งเจ็ดเรื่องของ นิกร แซ่ตั้ง ในเล่มนี้
ฉันเริ่มต้นงานวาดภาพประกอบหนังสือโดยมีความเป็นมาเป็นไปแบบนี้ล่ะ ถึงมันจะไม่ใช่งานที่เผยแพร่ในวงกว้างนักแต่ระหว่างทำงานและเมื่อเห็นหนังสือพิมพ์ออกมาโดยมีชื่อตนเองพิมพ์ระบุไว้ว่าเป็นผู้วาดภาพประกอบ ฉันก็รู้สึกเต็มตื้นด้วยความรู้สึกขอบคุณต่อผู้มอบโอกาสอันได้แก่พี่นิกรและทีมงาน Sea Studio ขอบคุณครอบครัวที่สนับสนุนต่อการเลือกทำงานของฉันไม่ว่าจะฉันตัดสินใจอย่างไร จะมีความฝันเบ่งบานกี่ครั้ง ขอบคุณคนรักและครอบครัวของเขา ขอบคุณเพื่อนหลายคนที่ให้กำลังใจและสนับสนุนฉันเมื่อเห็นฉันหัดวาดรูป
ขอขอบคุณต่อผู้คนและเรื่องราวในชีวิตซึ่งเกิดกับฉัน ตัวฉันประกอบมาด้วยเรื่องราวเหล่านั้น ภาพและการตีความของฉันเองก็เช่นกัน เติบโตมาจากทุกข์และสุขซึ่งผ่านมาในชีวิตเช่นเราทุกคนบนโลกใบนี้
ป้ายกำกับ:
ชวนคุย,
ชวนอ่าน,
ภาพประกอบ,
หนังสือ,
illustration
28 สิงหาคม 2556
ส่งต่อ
ตั้งแต่ปีที่แล้วจนมาถึงเดือนสิงหาคมของปีนี้...ฉันได้รับของขวัญ,ของฝากเป็นสมุดวาดรูป สีกวอชและดินสอจากพี่ๆน้องๆและเพื่อนอีกหลายคน
ได้รับมากกว่าที่ให้เยอะเลย จนรู้สึกว่า เฮ้ย ไม่ได้การ เราต้องสร้างอะไรต่อยอดต่อผลจากสิ่งที่เพื่อนๆให้มา (แน่นอนล่ะว่ามันก็ต้องเป็นไปตามกำลังของตน)
ปีที่แล้วยังเย็บผ้าอยู่ก็พอจะได้แบ่งเงินค่าของที่ขายไปทำประโยชน์ได้บ้าง แล้วปลายปีที่แล้ว ฉันก็เย็บกระเป๋าไปให้ทางมูลนิธิปันกันจำหน่ายหาเงินเป็นทุนการศึกษาให้เด็ก แต่ปีนี้สิ ฉันยังไม่ได้ลงมือทำอะไรให้ใครเลย (ไม่รวมเย็บของให้เพื่อนนิดหน่อยกับใช้เงิน"ให้" แบบสะดวก)
แผนแรกที่คิดไว้ คือ ต้องค่อยๆคิดว่าจะทำอะไรเป็นการปันส่งต่อสิ่งดีๆที่ได้รับ แผนสองก็คือ ถ้าคิดไม่ออกก็เย็บกระเป๋าไปขายหาตังค์ให้เด็กแบบเดิม คิดมากเกินเดี๋ยวไม่ได้ทำอะไรกันพอดี :P
อืม...ดูเป็นบล็อกนางง๊าม นางงามรักโลก รักเด็กเนอะ...ทั้งที่จริงๆแล้วมันก็แค่ว่าเราจะทำอะไรได้บ้างโดยไม่เบียดเบียนตัวเองและได้ตอบแทนน้ำใจที่เราได้มาในรูปแบบส่งต่อก็เท่านั้นเอง
16 สิงหาคม 2556
คือฉัน (อีกหลายคน)
เคยมีเพื่อนที่รู้จักผ่านโลกออนไลน์คุยมาทางข้อความของเฟซบุ๊ค ใจความรวมๆคือเพื่อนเห็นเราลงมือวาดรูปจึงได้แรง(คงไม่ถึงแรงบันดาลใจ) ที่จะลุกขึ้นมาวาดรูปอีกครั้งและแนะนำให้ฉันมุ่งมั่นไปกับแนวทางวาดรูปของตัวเองที่ชัดเจนไปทางเดียวเลย
นึกขอบคุณเพื่อนคนนั้น (และก็ได้ขอบคุณออกไปแล้ว) ในน้ำใจที่แนะนำมาด้วยความหวังดี ตอนนั้นดีใจมากเลยที่อย่างน้อยการที่ตัวฉันเองลงมือวาดรูปทุกๆวันจะทำให้คนตัดสินใจลงมือทำสิ่งที่เขาเคยนึกอยากทำเมื่อนานมาแล้วและขอบคุณมากที่เพื่อนคนนี้บอกเราอย่างตรงไปตรงมาในสิ่งที่เธอคิด (เพื่อนคนนี้มีสายตาของศิลปินและสายตาของการขายงาน การแนะนำของเธอไม่ได้มาจากการพูดเรื้อยเจื้อย)
ขณะเดียวกัน ฉันเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าการสร้างสไตล์ที่ชัดเจนแน่วแน่นั้นเป็นเรื่องดีและคงจะทำให้พอร์ตฯงานออกมาจับตาคนได้มากกว่าการวาดรูปในสไตล์นั้นที สไตล์นี้ที...แต่ก็นั่นล่ะ บางเรื่องเรารู้ว่ามีประโยชน์ในเชิงการตลาดแต่เราก็อาจเลือกไม่ทำ
ฉันเชื่อและคิดมาตลอดว่าในตัวฉันเองนั้นมี "ฉัน"คนอื่นอยู่อีก ไม่ใช่ฉันในภาคมาร ภาคนักบุญ...แต่เป็นฉันอีกอย่างน้อยสามคน และทั้งสามคนนี้ก็ยังมีภาคมารภาคนักบุญของตัวเองอีก
ดูเหมือนคนเป็นโรคจิตเภทหน่อยๆมั้ย :P
การวาดรูปเป็นเหมือนช่องทางแสดงออกและยืนยันในตัวตนที่มีอยู่ของพวกเขา ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องโชว์งานสไตล์เดียวเพื่อขาย ไว้ถึงเวลานั้นฉันค่อยมาคัดแยกงานให้เป็นหมวดหมู่อีกทีก็ได้ ถึงฉันจะเดินบนเส้นทางนักวาดรูปอย่างที่ตั้งใจได้ช้าไปหน่อย แต่มันก็ช่วยไม่ได้ในเมื่อฉันจับมือเดินไปพร้อมกับกัน"ฉัน"คนอื่นๆนี่นา คงจะวิ่งลำบาก :)
เอาแต่พร่ำเพ้อไปก็ไม่มีประโยชน์ เอารูปมาอวดดีกว่า สัปดาห์นี้ ฉันวาดภาพผู้หญิงติดๆกันมาสามรูป ถึงจะลงสีกวอชเหมือนกัน แต่สามรูปก็ดูจะคนละสไตล์เลยจนได้ทั้งที่ก็ตั้งใจจะให้ออกมาแนวเดียวกันมากที่สุด
แต่ไม่ต้องห่วงนะ รูปนี้วาดจากฉันคนเดียวนี่ล่ะ ไม่ใช่สามคนที่ว่า :P
ป้ายกำกับ:
ฉันอีกหลายคน,
ชวนคุย,
ชีวิต,
วาดรูป,
illustration
7 สิงหาคม 2556
Life
“Life is an opportunity, benefit from it.
Life is beauty, admire it.
Life is a dream, realize it.
Life is a challenge, meet it.
Life is a duty, complete it.
Life is a game, play it.
Life is a promise, fulfill it.
Life is sorrow, overcome it.
Life is a song, sing it.
Life is a struggle, accept it.
Life is a tragedy, confront it.
Life is an adventure, dare it.
Life is luck, make it.
Life is too precious, do not destroy it.
Life is life, fight for it.”
― Mother Teresa
Life is beauty, admire it.
Life is a dream, realize it.
Life is a challenge, meet it.
Life is a duty, complete it.
Life is a game, play it.
Life is a promise, fulfill it.
Life is sorrow, overcome it.
Life is a song, sing it.
Life is a struggle, accept it.
Life is a tragedy, confront it.
Life is an adventure, dare it.
Life is luck, make it.
Life is too precious, do not destroy it.
Life is life, fight for it.”
― Mother Teresa
20 กรกฎาคม 2556
คุยกันเรื่องศิลปินในดวงใจ : Oskar Kokoschka
ฉันรู้จัก Oskar Kokoschka ศิลปินภาพแนว Expressionism ครั้งแรกผ่านภาพวาดของเขาซึ่งถูก pin ไว้ใน Pinterest ...โลกอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมต่อโยงใยโลกกว้างก็มีข้อดีหลายข้อ หนึ่งในนั้นคือ ฉันได้รู้จักศิลปินหรือนักวาดภาพอีกหลายคนหลายเชื้อชาติที่ไม่ค่อยหรือไม่เคยเห็นผลงานพวกเขาในบ้านเราผ่านช่องทางนี้
Kokoschka ศึกษามาทางศิลปะในเชิงช่าง ไม่ได้เรียนจิตรกรรมโดยตรง นั่นทำให้เขามีอิสระในวิธีการใช้สีโดยไม่ยึดติดว่าวิธีใดคือวิธีที่ “ถูกต้อง”ตามขนบที่ทำตามกันมา ...ฉันชอบการปาดป้ายที่คมชัดของเขามาก...ส่วนหนึ่งในใจฉันก็คงอยากจะมาโลดแล่นเต้นเร่าบนผืนกระดาษหรือผืนผ้าใ บแบบที่ภาพของ Kokoschka วาดล่ะมัง
อ๊ะ ออกไปนอกเรื่องอีกแล้ว ..กลับมาพูดถึงศิลปินตามที่เล่ามาตอนต้นดีกว่าว่า อีตา Egon Schiele กับ Oskar Kokoschka นั้นแสดงออกมามากเหมือนกันคือเรื่องอารมณ์ปราถนา,หลงใหลคลั่งไคล้ คราวก่อนฉันเล่าไปเรื่องความแสบทรวงในเรื่องผู้หญิงของ Schiele ไปแล้ว ครั้งนี้ฉันจึงขอเม้าท์ (แต่ไม่ตัดสิน) เรื่องของ Kokoschka บ้าง
Kokoschka เคยตกหลุมรักหญิงม่ายคนหนึ่ง (ค้นชื่อจากประวัติของเขาได้) เมื่อรักและลุ่มหลงมากก็แสดงออกมาก สาวเจ้าก็ทนไม่ไหวจึงขอแยกทางไป Kokoschka ทำใจไม่ได้จึงสั่งทำตุ๊กตาขนาดเท่าตัวเธอขึ้นมาไว้แทนกายคนรักที่จากไป ฉันว่าฉันเข้าใจเขานะ...ถึงมันจะดูแปลกประหลาด (และคงดูโรคจิต) ในสายตาบางคนแต่การทำแบบนี้ก็ไม่ได้ไปทำร้ายใคร..แต่มันคง ทำร้ายจิตใจเจ้าตัวต้นแบบอยู่ล่ะเพราะ Kokoschka ก็มักตอบอย่างเปิดเผย (ถ้ามีใครถาม) ว่าเขาทำอะไรกับตุ๊กตาบ้าง
อย่างไรก็ตาม...ในที่สุด เขาก็ทำลายตุ๊กตานั้นเพราะเราก็รู้แก่ใจกันอยู่ว่าต่อให้เป็นร่างโคลน แต่เมื่อไม่ใช่”เธอ” มันก็ไม่ใช่เธออยู่ดี (เท่าที่ฉันเห็นรูปถ่าย ตุ๊กตาที่สั่งทำมาก็คงไม่ได้จะไปเหมือนอะไรกับต้นแบบนักด้วยสิ) หลังจากเรื่องอิ้อฉาวนี้ผ่านไป Kokoschka ต้องลี้ภัยในช่วงสงครามโลก และย้ายที่พักไปยังประเทศต่างๆในยุโรป อเมริกาและอาศัยอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นแห่งสุดท้ายจนสิ้นอายุขัยเมื่อ ปี ค.ศ. 1980 ในช่วงชีวิตนั้น เขายังคงพัฒนาตนเองในฐานะศิลปินวาดภาพต่อไป ในหลายสไตล์การวาด ฉันค้นเจอภาพถ่ายรูปเขาในวัยหนุ่มและวัยชรา เขาดูเป็นหนุ่มช่างคิดนะแต่ไม่น่ากลัว...ถ้าฉํนได้รู้จักตัวจริงของชายหนุ่มผู้อ่อนไหวคนนี้ ฉันอาจจะเผลอหลงรักเขา ... ไม่แน่นะ ฉันเองอาจจะเป็นฝ่ายเย็บตุ๊กตาขนาดเท่าตัวเขามากกกอดไว้แทนตัวจริงในวันที่เลิกรากันก็ได้
(เคยเล่าไว้ ที่นี่ )
1 กรกฎาคม 2556
คุยกันเรื่องศิลปิน (ในดวงใจ) : Egon Schiele
ชอบ Egon Schiele ยิ่งมีโอกาสเห็นภาพของเขามากขึ้นก็ยิ่งชอบ
เล่าเรื่องศิลปินคนนี้ในแบบของคนที่ไม่ได้เล่าเรียนมาทางนี้และไม่มีความรู้ทางเทคนิคจิตรกรรมใดๆ ไว้ในเพจ aimmo ที่นี่ ตอน Egon Schiele ค่ะ
16 มิถุนายน 2556
ฝึกหัดเล่าเรื่องไปพร้อมกับภาพ : ญี่ปุ่น ตอนที่ 1
เริ่มประเดิมฝึกหัดเล่าเรื่องพร้อมภาพไปกับร้านอิซากายะที่เตะจมูกเราด้วยกลิ่น แต่ไม่ได้เตะปากเราเพราะเราไม่ได้กิน!
สาเหตุที่เริ่มเล่าด้วยภาพนี้คงเป็นเพราะความแค้น ...จะแค้นอะไร...ก็แค้นใจที่ไม่ได้กินน่ะสิคะ (ยิ่งนึกก็ยิ่งช้ำใจน้อยๆว่าไม่น่าพลาด)
วันแรกที่เหยียบแผ่นดินญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้ว
มันเริ่มด้วยการผจญฝูงชนชาวคณะทัวร์ที่มาแลกตั๋วเจอาร์พาสกันแน่นเคาน์เตอร์ที่สนามบินนาริตะ
บอกตรงๆว่ากำลังกายเริ่มถดถอยเพราะนอนไม่เต็มอิ่มมาสองคืนแล้วตั้งแต่ก่อนเดินทาง ขึ้นเครื่องมาก็หลับๆตื่นๆเพราะกลัวเผลอกรนดัง...เกรงใจชาวโลกที่ร่วมทางในเครื่องบินลำเดียวกัน
แถวแลก JR Pass Exchange Order และแถวจองตั๋วรถไฟ (ซึ่งจะเริ่มใช้วันพรุ่งนี้ไปนิกโก)
นั้นยาวเกินคาดไปเยอะบวกความเหนื่อยอ่อนของสังขารทำเอาความลั๊นลากล้าท่องโลก(ญี่ปุ่น) ในใจฉันหดลงเหลือแปดสิบเปอร์เซนต์ พอนั่งรถไฟสายเคเซเข้าเมืองเพื่อไปลงสถานีอุเอโนะ...
ลงจากรถไฟก็เจอฝนอีก...ฮึ่ม!
เกิดใต้ฟ้าอย่ากลัวฝนตราบใดที่ฟ้าไม่ผ่าหรือหล่นใส่หัว เราก็ต้องไปต่อ
(โดยมีร่มที่พกมาจากเมืองไทยเป็นตัวช่วย)
เราเลือกจองโรงแรมแถวอุเอโนะในวันแรกเพราะเป็นย่านที่รถไฟสายเคเซจอด วันต่อไปที่เริ่มใช้เจอาร์พาสไปเที่ยวนิกโกก็ต่อรถไม่ยุ่งยากแถมโรงแรมที่เลือกไว้ก็มีคนทำรีวิวเส้นทางไปโรงแรมแบบครบขั้นตอนตั้งแต่ก้าวเท้าลงจากสถานี
Keisei
Ueno ยันก้าวเท้าเข้าโรงแรมกันเลยทีเดียว
เอาสัมภาระและตัวกลมๆสองร่างเช็คอินเข้าพักโรงแรมเสร็จ (คิดดู
กว่าจะเข้าเมืองได้
มันถึงเวลาที่เราสามารถเช็คอินได้แล้วนั่นคือสี่โมงเย็น หมดเวลาเที่ยวไปหนึ่งวัน) เราก็ตัดสินใจว่านี่มันก็เย็นแล้ว
ไปเดินเพลินๆที่ตลาดอะเมโยโกะซึ่งอยู่ในย่านอุเอโนะ หาข้าวกินแล้วนอนเร็วหน่อยดีกว่าเพราะพรุ่งนี้ต้องไปนิกโกแต่เช้ามืด
ตลาดอะเมโยโกะนี่มันเดินมันจริงๆนะ
ถ้าคุณไม่รังเกียจความคึกคักแบบที่เราเห็นตามตลาดสวนหลวงหรือตลาดน้ำ
และเราจะมันมากกว่านี้ถ้ามีพ็อคเก็ตมันนี่สำหรับช็อปปิ้งเยอะๆ
(ทั้งสตรอเบอร์รี่ลูกโตจิ้มนมข้น ผลไม้มากมายเต็มตลาด
รองเท้าผ้าใบแจ่มๆที่วางโชว์มันช่างเย้ายวน)
ส่วนทีมเรา (อิฉันและคู่หูคู่ฮา)
ไม่มีงบประมาณช็อปปิ้งเลยได้แต่เดินดูข้าวของเพลินๆ
และหัดบำเพ็ญตบะด้วยการดูของที่อยากได้เยอะๆ สร้างกิเสสแล้วดับกิเลสด้วยการไม่ซื้อ
(ถ้ายังอยากมีเงินเที่ยวต่อในวันอื่นๆที่เหลือ)
ฉันเคยเห็นรูปจากกระทู้ในพันทิปและหนังสือท่องเที่ยวว่าในตลาดอะเมโยโกะมีร้าน"จิราชิ
ซูชิ" ข้าวโปะหน้าปลาดิบพูนๆในราคาย่อมเยา
ฉันมุ่งมั่นจะไปกินจิราชิซูชิก็จริง
แต่จมูกฉันมันก็ดันโดนเตะไปแล้วด้วยกลิ่นจากร้านในรูป (อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก-เขียนไม่เป็น
ฉันเลยตัดเอาป้ายชื่อร้านมาแปะไว้ในรูปที่ฉันวาดนี้)
คนเรา เมื่อถึงทางแยกก็ต้องเลือกว่าจะไปทางไหน จิราชิ ซูชิ
ที่มีป้ายภาพอาหารพร้อมราคาให้เลือกจิ้มสั่งหรือร้านที่ขายอะไรก็ยังไม่รู้
แต่ส่งกลิ่นยั่วยวนในภาพ...ณ นาทีนั้น เราเลือกความสะดวกอิ่มท้องก่อน
ฉันว่าเราเลือกไม่ผิด แต่ก็ไม่รู้ว่าเลือกถูกมั้ยเพราะอาหาร (ซึ่งน่าจะ) อร่อยที่โรยหน้าด้วยความตื่นเต้นตุ๊มๆต่อมๆเป็นออเดิร์ฟที่ร้านอิซากายะมันก็น่าเสียดายชะมัดเลย
ทุกๆทางเลือกเนี่ยมันต้องเสี่ยงทั้งนั้นเนอะ
11 มิถุนายน 2556
ปลูกผักรับฝน
ช่วงนี้ฝนตกบ่อยๆ ชวนให้ฮึกเหิมปลูกต้นไม้อีก (จะได้ฝากท่านฟ้าท่านฝนช่วยดูแลด้วย)
คราวก่อนฉันมีบทเรียนจากกระถางที่ลงเมล็ดต้นเรดโอ๊คไว้....หนอย เรารึก็อุตส่าห์ปลูกจนต้นอ่อนขึ้นงามมาได้เป็นสิบต้น แต่พอฝนเทลงมา เรดโอ๊คและบัตเตอร์เฮด (ที่ขึ้นมาสองต้น) ก็โดนน้ำฝนที่เทไหลเป็นน้ำตกจากขอบกำแพงรั้วปูนกระแทกหน้าดินจนต้นเละกระจุยกระจายไป
ฉันว่าฉันวางแผนวางกระถางรับเฉพาะแดดอ่อนๆตอนเช้าได้ดีแล้วทีเดียว แต่ก็ดันลืมไปว่าพอเอากระถางมาวางชิดริมรั้วกำแพงปูนเพื่ออาศัยหลบแดด พอพระพิรุณท่านส่งน้ำแรงๆ ...ไม่ได้ตกเปาะแปะน่าเอ็นดูมาให้...ไอ้ขอบรั้วปูนก็กลายเป็นหน้าผาให้น้ำฝนเทลงมากลายเป็นน้ำตกดีๆนี่เอง
บทเรียนคราวนั้นทำเองฉันแหยงที่จะปลูกผักอื่นไปหลายเดือน...ยังดีที่ผักชีฝรั่งที่อยู่ริมรั้วเหล็กนั้นแสนจะอึด ทนแดดทนฝน ...ไม่เหี่ยวเป็นผักตายนึ่งไปด้วย
วันนี้ ...ได้ฤกษ์ (ฤกษ์ดีของตัวเองก็คือการลงมือทำ --เลิกผัดวันประกันพรุ่ง) ฉันขนกระถางเก่าๆที่มีซากต้นไม้ล้มลุกตายอยู่มาวางกองไว้หลายใบ รื้อหน้าดินที่มีซากต้นไม้ออกไปทำปุ๋ยให้ต้นแสงจันทร์---ป๋า(ต้นไม้) ใหญ่ประจำบ้าน ปุ๋ยนี้เป็นค่าตอบแทนเล็กๆน้อยๆให้ต้นแสงจันทร์ที่ฉันขออาศัยร่มใบของป๋ามาบังแดดแรงให้บรรดาเมล็ดต่างๆที่เพิ่งลงดินไป
ลงไปหลายพืชผัก...กลัวจำไม่ได้ว่ากระถางไหนเป็นอะไร ฉันเลยวาดรูปแผนผังเมล็ดผักที่ลงไว้ช่วยจำ (ติดชื่อผักไว้ที่กระถางแล้วล่ะ แต่คิดว่าโดนฝนสักสองสามครั้ง ป้ายก็เจ๊ง) ...ก็ไม่รู้ว่าเจ้าเมล็ดมันจะยอมฟูมฟักต้นให้สักกี่มากน้อยเพราะเมล็ดพันธุ์พวกนี้ก็ใกล้หมดอายุเต็มที
ถ้าใครมาเห็นกระถางของฉันคงนึกขำว่าเอากระป๋องนมเก่าๆพ่นสี (แต่ขึ้นสนิมแล้ว) มาปลูกผักทำไมทั้งๆที่กระถางเก่าสวยๆ เหมาะๆที่เคยลงเรดโอ๊คครั้งก่อนก็น่าจะเอามาใช้ได้...แหม ที่จริงก็ไปยกกระถางขึ้นมากะเอามาใช้แล้วล่ะ แต่ดันเห็นบรรดาแมลงดินพร้อมไข่ทรงรีสีน้ำตาลอ้วนๆหลายใบอยู่ใต้กระถาง ท่าทางพวกมันแตกตื่นเลยเชียวว่ามีผู้บุกรุก วิ่งไปปกป้องไข่เตรียมย้ายกันใหญ่ ฉันเลยใจอ่อน หน้าฝนแบบนี้...ย้ายไปไหนตอนนี้อาจจะไม่รอด...เอาวะ ทิ้งกระถางไว้ให้ก่อนก็ได้ ไว้หน้าร้อนฉันจะมาทวงคืน (ไม่รู้ว่าแมลงชื่ออะไรแต่ไม่ใช่ปลวกหรือมด เคยเห็นพวกมันตามกระถางเก่าๆอยู่บ่อยๆ คิดว่ามันน่าจะสำคัญกับระบบนิเวศแหงๆ ตัวดำใหญ่ ไข่สีน้ำตาลโกโก้)
ฉันเอง ปลูกอะไรจากเมล็ดไม่ค่อยรุ่ง (ที่จริงปลูกอะไรก็ไม่ค่อยรุ่ง) แต่ก็ยังมีความหวังกับเจ้าเมล็ดที่ลงคราวนี้ ไม่รู้ว่าพอหลบแดดแรงและน้ำตกเม็ดฝนได้...พวกมันจะขึ้นมาให้ชื่นใจบ้างไหมหนอ...ลุ้นจริงๆ
คราวก่อนฉันมีบทเรียนจากกระถางที่ลงเมล็ดต้นเรดโอ๊คไว้....หนอย เรารึก็อุตส่าห์ปลูกจนต้นอ่อนขึ้นงามมาได้เป็นสิบต้น แต่พอฝนเทลงมา เรดโอ๊คและบัตเตอร์เฮด (ที่ขึ้นมาสองต้น) ก็โดนน้ำฝนที่เทไหลเป็นน้ำตกจากขอบกำแพงรั้วปูนกระแทกหน้าดินจนต้นเละกระจุยกระจายไป
ฉันว่าฉันวางแผนวางกระถางรับเฉพาะแดดอ่อนๆตอนเช้าได้ดีแล้วทีเดียว แต่ก็ดันลืมไปว่าพอเอากระถางมาวางชิดริมรั้วกำแพงปูนเพื่ออาศัยหลบแดด พอพระพิรุณท่านส่งน้ำแรงๆ ...ไม่ได้ตกเปาะแปะน่าเอ็นดูมาให้...ไอ้ขอบรั้วปูนก็กลายเป็นหน้าผาให้น้ำฝนเทลงมากลายเป็นน้ำตกดีๆนี่เอง
บทเรียนคราวนั้นทำเองฉันแหยงที่จะปลูกผักอื่นไปหลายเดือน...ยังดีที่ผักชีฝรั่งที่อยู่ริมรั้วเหล็กนั้นแสนจะอึด ทนแดดทนฝน ...ไม่เหี่ยวเป็นผักตายนึ่งไปด้วย
วันนี้ ...ได้ฤกษ์ (ฤกษ์ดีของตัวเองก็คือการลงมือทำ --เลิกผัดวันประกันพรุ่ง) ฉันขนกระถางเก่าๆที่มีซากต้นไม้ล้มลุกตายอยู่มาวางกองไว้หลายใบ รื้อหน้าดินที่มีซากต้นไม้ออกไปทำปุ๋ยให้ต้นแสงจันทร์---ป๋า(ต้นไม้) ใหญ่ประจำบ้าน ปุ๋ยนี้เป็นค่าตอบแทนเล็กๆน้อยๆให้ต้นแสงจันทร์ที่ฉันขออาศัยร่มใบของป๋ามาบังแดดแรงให้บรรดาเมล็ดต่างๆที่เพิ่งลงดินไป
ลงไปหลายพืชผัก...กลัวจำไม่ได้ว่ากระถางไหนเป็นอะไร ฉันเลยวาดรูปแผนผังเมล็ดผักที่ลงไว้ช่วยจำ (ติดชื่อผักไว้ที่กระถางแล้วล่ะ แต่คิดว่าโดนฝนสักสองสามครั้ง ป้ายก็เจ๊ง) ...ก็ไม่รู้ว่าเจ้าเมล็ดมันจะยอมฟูมฟักต้นให้สักกี่มากน้อยเพราะเมล็ดพันธุ์พวกนี้ก็ใกล้หมดอายุเต็มที
ถ้าใครมาเห็นกระถางของฉันคงนึกขำว่าเอากระป๋องนมเก่าๆพ่นสี (แต่ขึ้นสนิมแล้ว) มาปลูกผักทำไมทั้งๆที่กระถางเก่าสวยๆ เหมาะๆที่เคยลงเรดโอ๊คครั้งก่อนก็น่าจะเอามาใช้ได้...แหม ที่จริงก็ไปยกกระถางขึ้นมากะเอามาใช้แล้วล่ะ แต่ดันเห็นบรรดาแมลงดินพร้อมไข่ทรงรีสีน้ำตาลอ้วนๆหลายใบอยู่ใต้กระถาง ท่าทางพวกมันแตกตื่นเลยเชียวว่ามีผู้บุกรุก วิ่งไปปกป้องไข่เตรียมย้ายกันใหญ่ ฉันเลยใจอ่อน หน้าฝนแบบนี้...ย้ายไปไหนตอนนี้อาจจะไม่รอด...เอาวะ ทิ้งกระถางไว้ให้ก่อนก็ได้ ไว้หน้าร้อนฉันจะมาทวงคืน (ไม่รู้ว่าแมลงชื่ออะไรแต่ไม่ใช่ปลวกหรือมด เคยเห็นพวกมันตามกระถางเก่าๆอยู่บ่อยๆ คิดว่ามันน่าจะสำคัญกับระบบนิเวศแหงๆ ตัวดำใหญ่ ไข่สีน้ำตาลโกโก้)
ฉันเอง ปลูกอะไรจากเมล็ดไม่ค่อยรุ่ง (ที่จริงปลูกอะไรก็ไม่ค่อยรุ่ง) แต่ก็ยังมีความหวังกับเจ้าเมล็ดที่ลงคราวนี้ ไม่รู้ว่าพอหลบแดดแรงและน้ำตกเม็ดฝนได้...พวกมันจะขึ้นมาให้ชื่นใจบ้างไหมหนอ...ลุ้นจริงๆ
7 มิถุนายน 2556
สมุดจิ๋ว
ฉันมีสมุดเล่มเล็กจิ๋วที่ได้เป็นของขวัญปีใหม่จากน้องสาวสามเล่ม (ได้มาเป็นแพ็คเลย)
สมุดเหล่านี้แสนจะเหมาะกับการพกใส่กระเป๋าเพราะขนาดเล็กของมันจะใส่ไว้ในกระเป๋าถือใบย่อมๆก็ได้
ฉันใช้มันจดบันทึกกันลืมบ้าง จดเลขที่บัญชีที่ต้องไปทำธุรกรรมกับธนาคารบ้าง...และใช้วาดรูปฝึกมือระหว่างนั่งรถเมล์ด้วย ถึงแม้จะพกสมุดวาดรูปเป็นประจำอยู่แล้วแต่สมุดจิ๋วในรูปนี้เป็นเล่มเดียวที่พกติดตัวทุกครั้ง
ตอนนี้ก็กลางปีแล้ว ฉันใช้มันไปแล้วครึ่งเล่ม...หนึ่งปีก็คงใช้หนี่งเล่ม
ของขวัญจากน้องสาวคราวนี้...ใช้ได้สามปีเชียว...คุ้มค่าน่าดู :)
ป้ายกำกับ:
ของขวัญ,
ครอบครัว,
ปีใหม่,
วาดรูป,
illustration
5 มิถุนายน 2556
กระต่ายน้อยหน้าหงิก
ไม่รู้ทำไมถึงชอบวาดเด็กหน้าหงิกหรือเด็กหน้าเฉยๆมึนๆ....จะเป็นเพราะตัวเองสมัยเด็กๆก็ชอบทำหน้าหงิกเหรอ...อืมม์...ก็ไม่น่าจะใช่
สมัยเด็กๆ เวลาฉันวาดรูปเล่น...จำได้แม่นว่าสิ่งที่วาดยากมากคือหน้าตา"ยิ้มแย้ม" หน้ายิ้ม ตาก็ควรจะยิ้ม..เส้นที่ปากหรือดวงตาบิดไปจากที่ตั้งใจนิดเดียว "ยิ้ม"นั้นก็ดูไม่น่าเชื่อถือซะแล้ว
ช่วงที่ฉันทำงานอย่างบ้าคลั่งจนการนอนค้างออฟฟิศในวันทำงานเป็นเรื่องปกติ ทำงานจนเห็นพระอาทิตย์ขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา ...ช่วงนั้นเวลาวาดรูปเล่น ฉันกลับชอบวาดรูปตัวการ์ตูนยิ้ม ยิ้มเรี่ยราดเรื่อยเปื่อย...วาดแล้วก็คลายเครียดดี ไม่ได้สนใจว่า"ยิ้ม"ในภาพจะดูยิ้มจริงหรือยิ้มหลอก ได้แต่ขีดๆเส้นลงสมุดเป็นบางครั้งไว้บรรเทาอาการหงุดหงิดเรื่องคนเรื่องงานเท่านั้น
กลับมาวาดรูปตอนอายุสามสิบกว่าอีกทีด้วยความรู้สึกแบบตอนเด็ก ฉันเลือกที่จะวาดรูปที่ตัวเองอยากวาด ตราบใดที่งานนั้นไม่ได้เป็นงานจ้างให้ทำตามโจทย์ (แน่นอนว่าในการวาดเพื่อความรื่นรมย์ใจ มันก็มีจุดหมายอื่นด้วย พอเราโต เราก็อยากให้มีคนชอบผลงานเรา เห็นค่างานของเรา---อันนั้นมันเป็นจุดหมายรองลงมา และถึงฉันอยากจะให้มันเป็นจุดหมายหลักเพื่อจะได้เป็นตามนั้นเร็วๆ แต่ฉันก็เชื่อว่าคนแต่ละคนมีรูปแบบชีวิตของตัวเอง ฉันเป็นพวกชอบใช่้พลังเฉื่อย...ก็ขอเป็นตัวของตัวเองแบบนี้ล่ะ )
พอวาดตามใจ ...บ่อยครั้งตัวละครในรูปวาดของฉันเลยหน้าหงิก หน้าเฉยๆ หรือแค่อมยิ้ม (วาดคนหัวเราะนี่วาดยากนะ ถ้าพลังลั้นลาไม่ถึงนี่ฉันก็ไม่ฝืนวาดเลย)
ที่จริงตั้งใจจะเล่าเรื่องวาดเจ้ากระต่ายหนุ่มตัวน้อยหน้าตางอแงไม่ยอมเข้านอนกับกระต่ายหนุ่มหน้าหงิกนักผจญภัยว่าได้วาดรูปแบบนี้สนุกดี แต่ไหงกลายเป็นบ่นรำพึงรำพันถึงความหลังไปได้นะ
สงสัยเราจะเริ่มแก่แล้วจริงๆ :P
1 มิถุนายน 2556
ภาพแต่ละภาพนี่มันเป็นตัวของตัวเองแฮะ
วาดไปวาดมาภาพนี้ออกแนวการ์ตูนไปเลย
ฉันวาดรูปนี้แบบเรื่อยๆเพลินๆ ตอนแรกตั้งใจว่าจะไม่ตัดเส้นด้วยหมึกเพราะอยากให้ภาพดูฟุ้งๆชวนฝัน...แต่พอวาดจนจบแล้วกลับรู้สึกขัดใจกับเส้นดินสอที่ใช้มาก
ลงหมึกปุ๊บ ความรู้สึกขัดใจหายไปเป็นปลิดทิ้ง....ภาพบางภาพมันก็ดูเหมือนมีหนทางของมันเนอะ มันจะต้องเสร็จจบด้วยเส้นหมึกที่ลากเน้นภาพ มันอาจจะต้องจบแค่ภาพร่างแบบเร็วๆเห็นอารมณ์ขณะวาดผ่านเส้นได้ชัดเจน มันจะอาจจะต้องค่อยๆแต้มเส้นเล็กๆยิบย่อยลงตามจุดต่างๆในภาพถึงจะสมบูรณ์
ภาพแต่ละภาพนี่มันเป็นตัวของตัวเองจริงๆแฮะ
26 พฤษภาคม 2556
กับข้าว กับแม่
วันอาทิตย์มักเป็นวันที่บ้านฉันทำกับข้าว ทำสี่ห้าอย่างแล้วก็แพ็คใส่กล่องเข้าช่องแข็งไว้กินระหว่างสัปดาห์
อยากจะทำกินเองทุกๆวันเพื่อจะได้กินแต่ของสดใหม่เหมือนกัน แต่ความคิดนี้ยังไม่สามารถเอาชนะความขี้เกียจทำอาหารระหว่างสัปดาห์ได้เลย
พอฉันต้องทำอาหารกินเองและมี"ความขี้เกียจทำกับข้าว" เป็นของตัวเองอย่างนี้แล้ว...นึกถึงแม่ของตัวเองกับแม่แฟนขึ้นมาเลย...แม่ของเราทั้งคู่เป็นผู้หญิงทำงาน ทำงานหนักด้วย...แต่ก็กลับมาทำกับข้าวให้ลูกๆกินเสมอ ทุกวันนี้ เวลาฉันกลับบ้าน ฉันก็ยังอยากกินกับข้าวฝีมือแม่ แม่เองก็จะลงมือทำอาหารที่ฉันชอบและคิดเผื่อไปถึงคนรักของลูกที่มากินข้าวด้วยว่าชอบกินอะไร อะไรกินได้ อะไรกินไม่ได้ ในบางครั้งที่เจ้าลูกชาย (น้องชายฉัน) พาเพื่อนมาบ้านหรือจะออกไปเจอเพื่อนคนที่เคยมากินข้าวที่บ้านแล้วปลาบปลื้มซุปหมูตุ๋นเห็ดหอมฝีมืิอแม่ ถ้าแม่รู้ แม่ก็จะต้มซุปหม้อใหญ่ตักใส่ถุงแบ่งไปให้เพื่อนลูกด้วย
ฉันซึ่งมีแต่พลังเฉื่อยอยากรู้จริงว่าคนเป็นแม่นี่ไปเอาพลังที่ไหนมากันนะ
24 พฤษภาคม 2556
ตุ๊กตาที่ยังไม่เสร็จ
เวลาเด็กเล็กวิ่งเล่นจนล้ม ถ้าไม่เจ็บตัวนัก เด็กๆจะลุกขึ้นมายิ้มหัวเราะแล้ววิ่งต่อไป
ความผิดพลาดในการเย็บตุ๊กตาของฉันก็เป็นแบบนั้น พลาดแล้วก็หัวเราะ มอบรอยยิ้มให้โลกแล้ววิ่งต่อ...ฉันคิดแบบนั้นนะ
แต่สำหรับบางคน การลุกขึ้นมาหัวเราะไม่ใช่เรื่องง่ายอาจจะเพราะเขาจริงจังกับมัน หรือเขากำลังอยู่บนลู่วิ่งแข่ง...ดังนั้น เราขำตัวเองได้ แต่จะขำคนอื่นก็คงต้องดูให้ดีก่อนเนอะว่าเขากำลังวิ่งเล่นหรือวิ่งแข่งอย่างบากบั่นอยู่บนลู่
คุยไว้แบบงงๆ ใน wordpress-ตุ๊กตาที่ยังไม่เสร็จ ของฉันด้วย
ความผิดพลาดในการเย็บตุ๊กตาของฉันก็เป็นแบบนั้น พลาดแล้วก็หัวเราะ มอบรอยยิ้มให้โลกแล้ววิ่งต่อ...ฉันคิดแบบนั้นนะ
แต่สำหรับบางคน การลุกขึ้นมาหัวเราะไม่ใช่เรื่องง่ายอาจจะเพราะเขาจริงจังกับมัน หรือเขากำลังอยู่บนลู่วิ่งแข่ง...ดังนั้น เราขำตัวเองได้ แต่จะขำคนอื่นก็คงต้องดูให้ดีก่อนเนอะว่าเขากำลังวิ่งเล่นหรือวิ่งแข่งอย่างบากบั่นอยู่บนลู่
คุยไว้แบบงงๆ ใน wordpress-ตุ๊กตาที่ยังไม่เสร็จ ของฉันด้วย
19 พฤษภาคม 2556
กุหลาบ
สมัยเด็กๆ ฉันไม่ชอบดอกกุหลาบ ใครๆบอกว่ากุหลาบหอมจัง กุหลาบนี่ล่ะคือเทพีคนสำคัญของมวลดอกไม้ ฉันก็ไม่เชื่อ
สวนของย่าก็มีกุหลาบขึ้นแซมตรงนู้นตรงนี้หลายต้น ทั้งที่ออกดอกสีชมพู สีขาว สีแดง สีอมส้มโอลด์โรส แถมมีดอกให้ฉันแอบไปดมอยู่บ่อยๆ แต่ตอนนั้นดมเท่าไหร่ ฉันก็ว่ามันไม่เห็นจะหอมเลิศเลออย่างที่หนังสือบรรยายถึงดอกกุหลาบเลย ดอกเข็มขาวซะอีกที่กลิ่นหอมเด่น แม้แต่เข็มส้มเข็มแดงที่ตั้งเป็นกออ้วนๆอยู่รอบสวน-ไม่หอมแต่น้ำในเกสรดอกก็หวานอร่อยชะมัด
ถ้าไม่นับดอกกุหลาบสีม่วงในการ์ตูนเรื่องนักรักโลกมายา (หน้ากากแก้ว) และยัยกุหลาบปากแข็งในเจ้าชายน้อยแล้ว....ดอกกุหลาบไม่เห็นได้เรื่องเลย... ฉันคิด
น่าแปลกที่พอโตขึ้นเข้าสู่วัยสาว(ใหญ่) ฉันกลับเลือกน้ำหอมที่มีกลิ่นกุหลาบแต้มผิว เริ่มสังเกตกลีบดอกที่ซับซ้อนและบอบช้ำง่ายของมัน เริ่มชอบแบบไม่ค่อยรู้ตัว จนกระทั่งฉันหัดวาดรูป...ฉันพบว่าดอกไม้ที่วาดเติมลงไปในภาพบ่อยครั้งที่สุดคือดอกกุหลาบ
กุหลาบแรกแย้ม กุหลาบกลีบช้ำ กุหลาบที่แขวนตากไว้จนแห้ง กุหลาบที่กลีบซับซ้อนเต่งตึง กุหลาบที่โรยราแห้งกรอบ...กุหลาบทุกช่วงวัยกลับสวยทั้งนั้นในสายตาฉันวันนี้
สวนของย่าก็มีกุหลาบขึ้นแซมตรงนู้นตรงนี้หลายต้น ทั้งที่ออกดอกสีชมพู สีขาว สีแดง สีอมส้มโอลด์โรส แถมมีดอกให้ฉันแอบไปดมอยู่บ่อยๆ แต่ตอนนั้นดมเท่าไหร่ ฉันก็ว่ามันไม่เห็นจะหอมเลิศเลออย่างที่หนังสือบรรยายถึงดอกกุหลาบเลย ดอกเข็มขาวซะอีกที่กลิ่นหอมเด่น แม้แต่เข็มส้มเข็มแดงที่ตั้งเป็นกออ้วนๆอยู่รอบสวน-ไม่หอมแต่น้ำในเกสรดอกก็หวานอร่อยชะมัด
ถ้าไม่นับดอกกุหลาบสีม่วงในการ์ตูนเรื่องนักรักโลกมายา (หน้ากากแก้ว) และยัยกุหลาบปากแข็งในเจ้าชายน้อยแล้ว....ดอกกุหลาบไม่เห็นได้เรื่องเลย... ฉันคิด
น่าแปลกที่พอโตขึ้นเข้าสู่วัยสาว(ใหญ่) ฉันกลับเลือกน้ำหอมที่มีกลิ่นกุหลาบแต้มผิว เริ่มสังเกตกลีบดอกที่ซับซ้อนและบอบช้ำง่ายของมัน เริ่มชอบแบบไม่ค่อยรู้ตัว จนกระทั่งฉันหัดวาดรูป...ฉันพบว่าดอกไม้ที่วาดเติมลงไปในภาพบ่อยครั้งที่สุดคือดอกกุหลาบ
กุหลาบแรกแย้ม กุหลาบกลีบช้ำ กุหลาบที่แขวนตากไว้จนแห้ง กุหลาบที่กลีบซับซ้อนเต่งตึง กุหลาบที่โรยราแห้งกรอบ...กุหลาบทุกช่วงวัยกลับสวยทั้งนั้นในสายตาฉันวันนี้
18 พฤษภาคม 2556
17 พฤษภาคม 2556
คนธรรพ์รำพัน
เริ่มวาดรูปนี้เมื่อสามสี่วันก่อนโดยวาดดินสอลงไปเฉพาะโครงหน้า ตา จมูก ปาก
ดูภาพตอนนั้นแล้วนึกไปถึงหน้ากินร กินรีในวัดและก็ละม้ายกันโครงหน้าของพระพุทธรูปด้วย
ฉันไม่ได้ตั้งใจวาดเป็นหน้าพระพุทธรูปแล้วมีนัยยะอะไรซ่อนอยู่ก็ยิ่งไม่อยากให้ใครมองไปแบบนั้น (ไม่กลัวบาป แต่กลัวคนเข้าใจผิด...ถ้าเรามีประเด็นจะสะท้อนสังคมในเรื่องการนับถือ "ภาพ" หรือ "ร่าง" แทนตัวบทศาสนาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ไม่มีก็ไม่อยากให้คิดไปไกล)
รายละเอียดที่เติมมาทีหลังเป็นรายละเอียดเล่นสนุกของฉันที่อยากลองวาดดูว่าคนธรรพ์ ชาวสวรรค์บางพวกน่าจะมีหน้าตาแบบไหน จะมีรอยสัก รอยเจาะประดับตุ้มหู ตุ้มจมูกไหมหนอ
ระหว่างคิดไปก็ลงรายละเอียดไปเรื่อยๆ....สนุกเช่นเคย (คงเพราะเติมรายละเอียดไประหว่างดูน้องชายปล้ำผสมแป้งที่จะใช้ทำแผ่นนานไว้กินกับแกงกะหรี่ด้วยละมัง) ^ ^
ดูภาพตอนนั้นแล้วนึกไปถึงหน้ากินร กินรีในวัดและก็ละม้ายกันโครงหน้าของพระพุทธรูปด้วย
ฉันไม่ได้ตั้งใจวาดเป็นหน้าพระพุทธรูปแล้วมีนัยยะอะไรซ่อนอยู่ก็ยิ่งไม่อยากให้ใครมองไปแบบนั้น (ไม่กลัวบาป แต่กลัวคนเข้าใจผิด...ถ้าเรามีประเด็นจะสะท้อนสังคมในเรื่องการนับถือ "ภาพ" หรือ "ร่าง" แทนตัวบทศาสนาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ไม่มีก็ไม่อยากให้คิดไปไกล)
รายละเอียดที่เติมมาทีหลังเป็นรายละเอียดเล่นสนุกของฉันที่อยากลองวาดดูว่าคนธรรพ์ ชาวสวรรค์บางพวกน่าจะมีหน้าตาแบบไหน จะมีรอยสัก รอยเจาะประดับตุ้มหู ตุ้มจมูกไหมหนอ
ระหว่างคิดไปก็ลงรายละเอียดไปเรื่อยๆ....สนุกเช่นเคย (คงเพราะเติมรายละเอียดไประหว่างดูน้องชายปล้ำผสมแป้งที่จะใช้ทำแผ่นนานไว้กินกับแกงกะหรี่ด้วยละมัง) ^ ^
เอาเพลงคนธรรพ์รำพันของแจ้มาลงด้วยไปด้วยดีกว่า ดนตรีไม่เหมาะกับรูปนี้หรอกแต่เนื้อเพลงนี่อาจจะใช่นะ อิอิ
4 พฤษภาคม 2556
สีไม้ colleen มันเข้มข้นสดดีจังเนอะ
กลับมาใช้สีไม้ระบายบ้าง
สีไม้ยี่ห้อ Colleen ดูจะเป็นสีไม้ในดวงใจของเด็กๆด้วยเนื้อสีที่เข้ม ราคาไม่แพง ฉันเองมีสีไม้ (ระบายน้ำ) ยี่ห้อ Caran d'Ache รุ่น Swiss Color ซึ่งราคาแพงพอสมควร (รุ่นดีมากๆของสียี่ห้อนี้ราคาหลายพันบาทเชียว) ที่ซื้อไว้นานหลายปี แต่ก็ยังชอบสีไม้ Colleen มากๆ เลยคงเพราะสีไม้เดิมที่มีเหมาะกับการระบายไล่ล้อเฉดสวยๆดูเบาและอ่อนหวาน แต่ฉันซึ่งไม่มีทักษะอย่างนั้นและมักชอบระบายสีแบบเข้มข้นเลยได้ประโยชน์จากสีเดิมไม่ได้เต็มที่
เด็กๆที่ชอบสีสดและฉันที่มือหนัก พอใช้ colleen ก็มันส์เลย บดสีกับกระดาษได้แบบไม่ต้องกลัวเปลือง :P
ถึงฉันจะระบายสีไม้แบบเบาๆฟุ้งๆไม่เป็นแต่ก็คิดจะหัดในสักวันนะ รูปที่ใช้สีละมุนละไมมันน่ามอง มองแล้วก็สบายใจดี
สำหรับฉัน คนที่วาดภาพแล้วน่ามองเพลินตากับคนที่วาดรูปสะท้อนอารมณ์ชวนให้คนดูรู้สึกตามก็เก่งเหมือนๆกัน ยิ่งรูปที่นอกจากน่ามองแล้วยังสะท้อนอารมณ์ยิ่งเก่งเข้าไปใหญ่เลย ^ ^
สีไม้ยี่ห้อ Colleen ดูจะเป็นสีไม้ในดวงใจของเด็กๆด้วยเนื้อสีที่เข้ม ราคาไม่แพง ฉันเองมีสีไม้ (ระบายน้ำ) ยี่ห้อ Caran d'Ache รุ่น Swiss Color ซึ่งราคาแพงพอสมควร (รุ่นดีมากๆของสียี่ห้อนี้ราคาหลายพันบาทเชียว) ที่ซื้อไว้นานหลายปี แต่ก็ยังชอบสีไม้ Colleen มากๆ เลยคงเพราะสีไม้เดิมที่มีเหมาะกับการระบายไล่ล้อเฉดสวยๆดูเบาและอ่อนหวาน แต่ฉันซึ่งไม่มีทักษะอย่างนั้นและมักชอบระบายสีแบบเข้มข้นเลยได้ประโยชน์จากสีเดิมไม่ได้เต็มที่
เด็กๆที่ชอบสีสดและฉันที่มือหนัก พอใช้ colleen ก็มันส์เลย บดสีกับกระดาษได้แบบไม่ต้องกลัวเปลือง :P
ถึงฉันจะระบายสีไม้แบบเบาๆฟุ้งๆไม่เป็นแต่ก็คิดจะหัดในสักวันนะ รูปที่ใช้สีละมุนละไมมันน่ามอง มองแล้วก็สบายใจดี
สำหรับฉัน คนที่วาดภาพแล้วน่ามองเพลินตากับคนที่วาดรูปสะท้อนอารมณ์ชวนให้คนดูรู้สึกตามก็เก่งเหมือนๆกัน ยิ่งรูปที่นอกจากน่ามองแล้วยังสะท้อนอารมณ์ยิ่งเก่งเข้าไปใหญ่เลย ^ ^
2 พฤษภาคม 2556
สี Oil Pastel กับฉันในวัยเด็ก
ตลกตัวเองหน่อยๆเวลาย้อนคิดว่าสมัยก่อนไม่ชอบระบายสีด้วยสี Oil Pastel มากขนาดไหน ทั้งที่ตัวเองสมัยเรียนอนุบาลเคยส่งภาพวาดประกวด (งานเล็กๆในโรงเรียนนั่นล่ะมัง ตอนนั้นยังเด็กมากเลยจำรายละเอียดเรื่องนี้ไม่ได้ )
ภาพที่วาดส่งไปเป็นรูปเด็กกับใบไม้ร่วงตามพื้น ในภาพปล่อยกระดาษพื้นหลังโล่งขาวเกินครึ่งหน้ากระดาษแต่ก็ได้รางวัลมาซึ่งไม่แน่ใจว่าเขาให้เพราะถูกใจภาพเราหรือให้เพราะฉันเป็นลูกอาจารย์ที่สอนในวิทยาลัยครูที่โรงเรียนอนุบาลตั้งอยู่ในนั้น) ที่จำได้แม่นยำคือรางวัลที่ได้เป็นสีกล่องโต น่าจะเป็นสีชอล์ก (แบบที่เราเรียกสี Oil Pastel ตอนเด็กๆ) ในกล่องบรรจุสีไล่เฉดมากมายชวนใช้ แปลกที่ฉันจำไม่ได้ว่าเอาสีไประบายอะไรบ้าง แต่จำแม่นว่าถูกใจกล่องแต่ไม่ได้ชอบใช้สีนีี้เลยจนกระทั่งเรียนวิชาศิลปะครั้งสุดท้ายสมัยมัธยมต้น
ผ่านจากวันนั้นมานานหลายสิบปี ภายในเวลาแค่เดือนเดียวที่ลองเรียนรู้กับสีไปนี้อีกครั้งในวัยสามสิบปลายๆฉันกลับตกหลุมรักจังเบ้อเร่อกับสี Oil Pastel
ที่สำคัญมากเลยคือสีนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองค่อยๆคลำหาแนวการวาดที่ชอบที่สุดได้ใกล้เข้าไปทุกทีและยิ่งอยากเรียนรู้ต่อไปอีกเรื่อยๆ :)
ภาพที่วาดส่งไปเป็นรูปเด็กกับใบไม้ร่วงตามพื้น ในภาพปล่อยกระดาษพื้นหลังโล่งขาวเกินครึ่งหน้ากระดาษแต่ก็ได้รางวัลมาซึ่งไม่แน่ใจว่าเขาให้เพราะถูกใจภาพเราหรือให้เพราะฉันเป็นลูกอาจารย์ที่สอนในวิทยาลัยครูที่โรงเรียนอนุบาลตั้งอยู่ในนั้น) ที่จำได้แม่นยำคือรางวัลที่ได้เป็นสีกล่องโต น่าจะเป็นสีชอล์ก (แบบที่เราเรียกสี Oil Pastel ตอนเด็กๆ) ในกล่องบรรจุสีไล่เฉดมากมายชวนใช้ แปลกที่ฉันจำไม่ได้ว่าเอาสีไประบายอะไรบ้าง แต่จำแม่นว่าถูกใจกล่องแต่ไม่ได้ชอบใช้สีนีี้เลยจนกระทั่งเรียนวิชาศิลปะครั้งสุดท้ายสมัยมัธยมต้น
ผ่านจากวันนั้นมานานหลายสิบปี ภายในเวลาแค่เดือนเดียวที่ลองเรียนรู้กับสีไปนี้อีกครั้งในวัยสามสิบปลายๆฉันกลับตกหลุมรักจังเบ้อเร่อกับสี Oil Pastel
ที่สำคัญมากเลยคือสีนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองค่อยๆคลำหาแนวการวาดที่ชอบที่สุดได้ใกล้เข้าไปทุกทีและยิ่งอยากเรียนรู้ต่อไปอีกเรื่อยๆ :)
26 เมษายน 2556
ชวนอ่าน : ความไม่เรียบของความรัก (ZARAZARA)
ฉันแกะห่อช็อกโกแลตยี่ห้อ meiji สีชมพู หยิบมันเข้าปาก... รสหวานหอมของครีมสตรอเบอร์ร
อร่อยจัง รสชาติเหมือนความรักเลย ...ฉันนึกพร้อมกับหลับตา เม็ดฝนโปรยลงมาข้างนอกหน้าต
.....
ก่อนจะเขียนถึง "ความไม่เรียบของความรัก" ที่ฉันอ่านเมื่อช่วงก่อนเทศ
"ความไม่เรียบของความรัก" เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นขอ
ฉันว่าถ้าใครที่เคยกินบะหมี
ในหนังสือเล่มนี้มีเรื่องสั
ความไม่เรียบของความรัก (ZARAZARA)
ฮิโรมิ คาวาคามิ : เขียน
มัทนา จาตุรแสงไพโรจน์ : แปล
foneko : ภาพประกอบ
สำนักพิมพ์ซันเดย์ อาฟเตอร์นูน
(เล่าไว้ใน facebook เมื่อ 19.04.2013)
25 เมษายน 2556
ปากกา Sakura Pigma, นักวาดการ์ตูนตัวปลอมและภาพค่ำคืน
ช่วงแรกที่กลับมาหัดวาดรูป ฉันชอบปากกา Sakura Pigma มากเลย (ปัจจุบันก็ยังชอบมากอยู่ แต่มีเผลอใจไปให้ปากกาคอแร้งบ้าง (อ่านภาษาจีนไม่ออกว่าที่ชอบใช้คือหัวอะไร แต่เข้าใจว่าหัวที่ชอบใช้คือซาจิ-เพ็น เพราะมันใหญ่และอุ้มหมึกได้มากที่สุด) ส่วน Faber-Castell Ecco Pigment นั้นฉันใช้ไม่ค่อยถนัด พอซื้อมาก็เลยเอาไว้ใช้ขีดเส้นตรงหรือระบายถมดำในภาพมากกว่า
เวลาใช้ปากกา Sakura Pigma ทีไรจะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังวาดมังหงะอยู่ (ส่วนใหญ่นักวาดเขียนเขา/เธอใช้จี-เพ็นกัน แต่ก็มีบางคน อย่างทีม Clamp ที่วาดด้วยปากกา Sakura Pigma ) คงเพราะอิทธิพลจากหนังสือการ์ตูนโชโจที่อ่านตอนเด็กๆ ตัวเอกจะมีแม่ที่เป็นนักเขียนการ์ตูน วันๆหมกตัวอยู่ในห้อง...หน้าที่ทำงานบ้านก็เป็นของพระเอก/นางเอกตัวจ้อยแทน
ฉันที่ไม่ได้ชอบทำงานบ้านก็จินตนาการไปสิว่าเราอยากเป็นแม่แบบนี้ล่ะ ดีจะตาย ไม่ต้องทำงานบ้าน...ได้วาดรูป ได้เงินจากรูปด้วย :D
เมื่อสัปดาห์ก่อนฉันใช้ Sakura Pigma วาดรูปอีกครั้ง ระบายสีด้วยสีไม้ระบายน้ำ...นึกว่าตัวเองเป็นนักเขียนการ์ตูน จินตนาการเรื่องไปด้วยว่านางในรูปคือ "ค่ำคืน" ที่เมื่อเห็นเจ้ากระต่ายบนดวงจันทร์หลับไปแล้วก็เริ่มจะปลดปล่อยดวงอาทิตย์ออกมาจากเสื้อคลุมของนาง
วาดรูปไปก็ได้ย้อนวัยไปด้วย คิดฝัน(กลางวัน)ไปด้วย สนุกดี ^_^
22 เมษายน 2556
ไหนว่าจะไม่รับเย็บม่านไงล่ะ
เมื่อเดือนก่อน เย็บผ้าม่านที่เพื่อนสั่งทำเสร็จและส่งไปแล้วไปหนึ่งชุด เดือนนี้กำลังจะเสร็จอีกหนึ่งชุด...ครบโปรเจคท์ ^ ^
ที่จริงแล้ว ผ้าม่านไม่ใช่สิ่งที่เราชอบทำเลยนะ (ไม่ชอบทำงานชิ้นใหญ่ๆ) แต่งานผ้าม่านปีที่แล้วเป็นของเพื่อนรัก งานคราวนี้ก็เป็นงานของเพื่อนอีกคน (แถมเป็นลูกค้าเก่างานกระเป่าด้วย) เป็นงานผ้าม่านที่พ่วงการคิดแบบให้ไปด้วย
ถ้าใครอยากมีผ้าม่านแบบที่ไม่เหมือนตามที่ขายในท้องตลาด ถ้ามันไม่มีขั้นตอนยุ่งยาก เราสามารถจ้างคุณป้าที่ตั้งจักรรับเย็บผ้าในตลาดได้นะคะ แต่ไม่ควรเป็นแบบที่ยุ่งยาก และเราต้องอธิบายแบบได้ชัดเจน
ส่วนงานที่เราทำ...ทำไป แก้ไป เล่าไว้ ที่นี่ ค่ะ ^ ^
ที่จริงแล้ว ผ้าม่านไม่ใช่สิ่งที่เราชอบทำเลยนะ (ไม่ชอบทำงานชิ้นใหญ่ๆ) แต่งานผ้าม่านปีที่แล้วเป็นของเพื่อนรัก งานคราวนี้ก็เป็นงานของเพื่อนอีกคน (แถมเป็นลูกค้าเก่างานกระเป่าด้วย) เป็นงานผ้าม่านที่พ่วงการคิดแบบให้ไปด้วย
ถ้าใครอยากมีผ้าม่านแบบที่ไม่เหมือนตามที่ขายในท้องตลาด ถ้ามันไม่มีขั้นตอนยุ่งยาก เราสามารถจ้างคุณป้าที่ตั้งจักรรับเย็บผ้าในตลาดได้นะคะ แต่ไม่ควรเป็นแบบที่ยุ่งยาก และเราต้องอธิบายแบบได้ชัดเจน
ส่วนงานที่เราทำ...ทำไป แก้ไป เล่าไว้ ที่นี่ ค่ะ ^ ^
เจ้านี่เป็นงานม่านที่ส่งไปแล้ว ในรูปอาจจะไม่ค่อยเห็น มันเป็นม่านสองชั้น มีลูกไม้ซ้อนอยู่อีกผืน |
![]() |
วันนี้ปล้ำกับชุดนี้อีกรอบ เย็บผ้าตอนอากาศร้อนอ้าวนี่มันร้อน ร้อน ร้อน จริงๆเลย >.< |
19 เมษายน 2556
สี Oil Pastel แสนรักและการตระหนักรู้ของฉัน
หลังจากตั้งมั่นอีกครั้งกับสี Oil Pastel ฉันก็ค้นหาข้อมูลดูจากเว็บไซต์ว่า เอ๊ะ เจ้าสี Oil Pastel นี่ใช้ได้กี่วิธีบ้าง เปิดดูเว็บนั้นนิด เว็บนี้หน่อยให้เข้าใจพื้นฐานธรรมชาติของสี
แต่การอ่านอย่างเดียวก็ไม่ช่วยให้เราวาดรูปได้ดีขึ้นมา ...ลงมือเลยดีกว่า
สิ่งที่ฉันชอบที่สุดในการทำนู่นทำนี่ คือการที่เรารู้สึก "ตระหนักถึงความสำคัญ" ของบางอย่าง หรือบางขั้นตอนว่า เฮ้ย นี่ละๆ มันต้องมีไอ้นี่หรือมันต้องทำแบบนี้ มันถึงจะได้อย่างนั้น (งงไหมคะ :P) ยกตัวอย่างเช่น ถึงแม้ฉันจะลงมือทำอาหารทำขนมมาหลายครั้ง รวมทั้งรู้อยู่แล้วว่าเกลือเป็นเครื่องปรุงรสที่สำคัญมาก สำคัญจนสมัยก่อนที่เราไม่ได้ผลิตเกลือเป็นอุตสาหกรรมแบบนี้...เกลือมีราคาสูงและเป็นของมีค่าไว้แลกเปลี่ยนสินค้าดีๆได้
การรู้ไม่เหมือนกับการตระหนักแนบแน่นกับใจเราถึงความสำคัญของมัน ...ฉันเพิ่งตระหนักว่าเกลือมันช่างแสนชูรสอาหารจริงๆก็เมื่อสัปดาห์ก่อนตอนต้มซุปไก่ (ที่เคยทำมาเป็นสิบครั้ง) นี่ล่ะ
มันเป็นช่วงเวลามหัศจรรย์สำหรับฉัน...เหมือนที่ฉันเพิ่งตระหนักถึงความนุ่มนวลของสี Oil Pastel เมื่อสองวันก่อน
เล่ามาแบบนี้ก็ไม่ได้วาดเก่งอะไรขึ้นมาเหมือนเสกคาถาหรอกค่ะ แต่พอรู้แล้วก็รู้สึกสนุกแบบคูณสองกับการลงสีนี้ รวมทั้งตกหลุมรักสี Oil Pastel ไปแล้วล่ะสิ :)
![]() |
รูปนี้เป็นรูปแรกที่ลองเล่นกับสี Oil pastel หลังจากเล่าไปในบล็อกก่อน |
![]() |
อีกวันก็ลองวาดรูปนี้ ชอบก้อนสีที่มันหนืดปาดกันมาก ให้ความรู้สึกคล้ายสีน้ำมันที่ชอบอยู่แล้ว |
![]() |
วาดรูปนี้เมื่อคืน สนุกมาก และรู้สึกกับการระบายสีรูปนี้จนน้ำตาจะไหล มันมีก้อนจุกในอกเลยล่ะ แต่ไม่ได้จุกแล้วจ๋อย แต่เป็นจุกอกแบบที่วาดเสร็จก็หาย |
พอวาดภาพที่สามเสร็จ...ในตอนแรก ฉันก็รู้สึกว่า เฮ้ย เรามาทางนี้มันใช่ ดีจัง ชอบจัง...แล้วสักพัก พอใจมันนิ่งขึ้น ฉันก็วาง "ดีจัง ชอบจัง" ลงได้
เรายังต้องฝึกอีกเยอะ ยังเรียนรู้ได้อย่างสนุกสนานไปตลอดชีวิตอย่าเพิ่งไปติดกับดัก "ดีจัง ชอบจัง" กับงานตัวเองนานเลย โลกนี้มีงานสวยๆ ทั้งของมืออาชีพ ของมือสมัครเล่นอีกมากให้เราได้ชื่นชมชื่นชอบ และเรียนรู้จากพวกเขา
สู้ต่อไป เรียนรู้ต่อไปนะ ยัยเอมโม่ ^___^
11 เมษายน 2556
เรียนรู้...แบบเดินอ้อมๆ
-ฉันเห็นนกบินอยู่บนฟ้าท่ามกลางดวงดาว-
การหัดวาดเขียนด้วยตัวเอง บางครั้งก็ทำให้เราซึ่งเป็นคนอยากทำอะไรก็ลองทำเลย ไม่ศึกษาให้ถ้วนถี่ก่อน...ขาดทักษะในการวาด การลงสีไปเยอะ
นิสัยไม่ดีบางอย่างของตัวเอง ถึงรู้ตัวแต่ก็ไม่ใช่จะเลิก/ดัดนิสัยตนเองง่ายๆ ดังนั้น มันเป็นธรรมดาที่ต้องเดินอ้อมไปบ้าง อย่างเช่น คิดจะใช้สี Oil Pastel แต่ไม่ศึกษาก่อน (ซึ่งก็มีความรู้ในเว็บไซต์ต่างๆให้ค้นหา) เราเลยใช้สีนี้ไปแบบที่ใช้ตอนเด็กๆ คือถูๆๆ เอาความเข้มข้นของสีอย่างที่เราชอบเข้าว่า ทั้งที่จริงๆ สี Oil Pastel สร้างสรรค์ได้อีกเยอะ
พอเราเดินอ้อมไปกับรูปนี้แล้วก็ชักจะคิดได้ว่า เฮ้ย ศึกษาแนวทางของสีต่างๆก่อนดีมั้ย...พอลงมือค้นในอินเตอร์เน็ตก็ชักนึกสนุกและตั้งใจว่าฉันจะลงมือเล่นสนุกกับสีนีี้ล่ะนะ
หมายมั่นปั้นมือไว้กับหลายอย่างเลย ทั้งดินสอ ปากกาคอแร้ง ปากกาหัวพู่กัน สีน้ำ สีกวอช สีน้ำมัน...แล้วตามด้วยสี Oil Pastel ชีวิตนี้เรียนรู้ได้ไม่หมดแน่ๆ (นี่ยังไม่รวมเรื่องทำขนม ทำอาหาร เย็บผ้า ถ่ายรูปและกิจกรรมอื่นๆอีกนะ!)
ป้ายกำกับ:
ความตั้งใจของฉัน,
เรียนรู้,
วาดรูป,
ศึกษา,
สนุก,
illustration
9 เมษายน 2556
เสียงตะโกนที่แสนเงียบ
ข้อดีของการลงมือวาดรูป (หรือขุดดินทำสวน หรือปักผ้า หรือตีเทนนิส แล้วแต่วิธีของแต่ละคน) คือในเวลาที่ลงมือทำนั้น เราสามารถตะโกนร้องเสียงดังออกมาอย่างเงียบๆได้
15 มีนาคม 2556
เสียงของหัว (ใจ)
ตั้งแต่เริ่มฝึกหัดวาดภาพมาปีกว่าๆ เริ่มจะรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับการวาดภาพ (รวมทั้งงานด้านอื่นๆ) ขึ้นมามาก
ครั้งแรก คือเมื่อสามสี่เดือนก่อนที่อยู่ๆขณะที่วาดรูป ในหัวของฉันเหมือนมีเสียงคลิ้กเบาๆ แบบเดียวกับเสียงของชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ที่วางลงไปได้พอดีดังขึ้น
เป็น "คลิ้ก" ที่ทำให้ตกใจนิดหน่อย เพราะอยู่ๆก็รู้สึกเหมือนพระเจ้ามอบพรวิเศษให้วาดรูปได้อย่างใจขึ้นแบบกระทันหัน พรวิเศษนี้ต้องแลกกับอะไรหรือเปล่านะ ...ฉันแอบคิดเงียบๆในใจ และแล้ว...เมื่อนิ้วมือทั้งสิบของฉันเริ่มเจ็บ ...คำถามนี้ก็วนเวียนมาอีกรอบ เอ...นี่เราต้องแลกนิ้วกับพรวิเศษใช่ไหม
เสียง "คลิ้ก" ครั้งที่สองเกิดขึ้นวันนี้ขณะที่วาดรูปเด็กหน้าตาแป้นแล๊นในรูปข้างล่างนี่
คนอื่นๆอาจจะรู้สึกว่าทำไมฉันจึงรู้สึกคลิ้กกับรูปที่วาดเร็วๆ ลายเส้นเรียบง่ายเหมือนวาดเล่นแบบนี้
และอีกหลายๆคนที่ฝึกฝนวาดรูป และวาดรูปมานานก็อาจจะเข้าใจและคิดเหมือนที่ฉันคิดว่าเราต้องผ่านการวาด วาดและวาดมามากมายจนสามารถวาดเส้นสบายๆแบบนี้ได้
พอมาคิดดู เสียง"คลิ้ก" ครั้งแรกนั่น มันก็ใช่... มันเป็นการที่ฉันต้องแลกนิ้วมือทั้งสิบไปกับการวาดรูปที่ได้ดั่งใจมากขึ้น มันเป็นนิ้วที่เลือกแล้วว่าจะลงมือทำอะไร...เป็นนิ้วที่ลงมือฝึกฝน ...มันจึงเจ็บ
เสียง "คลิ้ก" ครั้งที่สองมาแบบเฉียบพลัน แต่ไม่สร้างความหวาดกลัวเหมือนครั้งแรก
ฉันรู้สึกว่า "คลิ้ก" ครั้งที่สองเป็นของแถม เป็นเสียงคลิ้กที่เหมือนจะบอกว่าจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นตามมา ขอให้มีความสุขกับการวาดภาพและฝึกฝนต่อไป เพราะคนที่มีความสุขที่สุดและมีความสุขได้แทบทุกวันจากภาพวาดเหล่านี้ เท่าๆที่ฉันรู้...คือตัวฉันเองนี่ล่ะ :)
ป้ายกำกับ:
ความรู้สึก,
ความสุข,
ชวนคุย,
ชีวิต,
ฝึกฝน,
รู้สึกดี,
วาดรูป,
illustration
10 มีนาคม 2556
เพื่อนยามค่ำคืน
ที่บ้าน...บนต้นโมกสูงประมาณสองเมตร กิ่งบางๆของมันมีนกสองตัว (ไม่รู้ว่ากระจิบ กระจอกหรือนกอะไร ดูไม่ออก) มายืนหลับคู่กันอยู่สองคืนแล้ว
ตอนแรก ฉันก็ค่อนขอดมันในใจว่า "โง่จัง มาเกาะกิ่งเตี้ยๆแบบนี้จะปลอดภัยได้ยังไง" แต่นึกไปนึกมา เฮ้ย มันฉลาดนี่หว่า นอนหลับบนกิ่งบางๆที่สัตว์อื่นเกาะไม่ได้ และกิ่งก็สูงเหนือระยะกระโดดของแมว เหนือระยะที่คนจะเอื้อมมือถึงไปหน่อยๆ พอให้รู้ตัวทันว่ามีอันตรายเข้ามาใกล้แล้วบินหนีไปได้ทัน
กิจกรรมของบ้านนี้ยามดึกเลยเป็นการลุ้นว่าคืนต่อๆไป เจ้านกคู่นี้จะยังมานอนหลับที่เดิมอีกมั้ย :)
ตอนแรก ฉันก็ค่อนขอดมันในใจว่า "โง่จัง มาเกาะกิ่งเตี้ยๆแบบนี้จะปล
กิจกรรมของบ้านนี้ยามดึกเลยเป็นการลุ้นว่าคืนต่อๆไป เจ้านกคู่นี้จะยังมานอนหลับที่เดิมอีกมั้ย :)
8 มีนาคม 2556
เจ้าหนอนเขียว
วันมาฆบูชาที่ผ่านมา ฉันคิดไปเองว่าฟ้าส่งโอกาสมาให้ทำดีเมื่อขึ้นไปนั่งบนรถเมล์แล้วเจอเจ้าหนอนเขียวตัวจ้อยเกาะบนแขน
เจ้าหนอนคงตกลงมาจากต้นไม้ใหญ่ที่ฉันหยุดยืน แหงนหน้ามองอยู่พักใหญ่ระหว่างทางเดินไปป้ายรถเมล์
แว่บแรก ฉันปัดเจ้าหนอนตกลงไปจากแขน แต่พอนึกว่าหนอนที่คลานบนแผ่นเหล็กร้อนๆข้างขอบหน้าต่างรถเมล์จะรอดมั้ยถ้าค้างติดอยู่บนนี้ ฉันเลยหยิบกระดาษทิชชู่ยับยู่ยี่จากเป้ขึ้นมา จับเจ้าหนอนใส่ลงไปในห่อกระดาษ พับกระดาษคลุมหนอนแล้วกำมือไว้หลวมๆพอไม่ให้เจ้าหนอนหลุดออกไปโดยหมายมั่นในใจว่าจะเอาหนอนไปปล่อยไว้ตรงต้นไม้หน้าบ้านใหญ่ที่มีต้นไม้ร่มครึ้มข้างห้างเดอะมอลล์ บางกะปิ
รถเมล์จอดเทียบป้ายที่หน้าห้าง ฉันพึมพำขอโทษเจ้าหนอนว่าฉันขี้เกียจฝ่าดงแดดเดินย้อนกลับไปที่บ้านนั้นแล้วล่ะ ขออนุญาตปล่อยเธอไว้ที่พุ่มไม้สวยๆหน้าห้างนะ อาจไม่ใช่ป่ากลางเมืองแบบบ้านหลังนั้น แต่ก็ดูร่มรื่นปลอดภัย
ฉันคิดไปเองว่าเจ้าหนอนพยักหน้าหงึกหงักยอมรับเพราะพอฉันยื่นมือเข้าไปใต้ต้นไม้แล้วคลี่ห่อกระดาษออก เจ้าหนอนก็ดูสุขสบายดีบนใบเขียวๆของต้นไม้พุ่มกลางๆหน้าห้าง
ผ่านมาหลายวันแล้ว ป่านนี้คงกลายร่างเป็นผีเสื้อไปแล้วมั้ง
ป้ายกำกับ:
ความรู้สึก,
ความสุข,
ชีวิต,
รู้สึกดี,
illustration
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)