“สิ่งที่ทำให้คนเราอยู่ด้วยกันไม่ได้
คือความงี่เง่า ไม่ใช่ความแตกต่าง”
นิยายความยาวเกือบเจ็ดร้อยหน้าของ Anna Galvada เล่มนี้
ฉันซื้อมาในราคายี่สิบบาท
แต่ความสุขในการอ่านนั้น ถ้าคิดเป็นเม็ดเงินคงมูลค่าหลักแสน “เพียงเรามีกัน แค่นั้นพอ” (Ensemble, c’ est tout) อัดแน่นด้วยมิตรภาพของสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกัน อัดแน่นด้วยความรักในสิ่งมีชีวิตที่เรามองเพียงเผินไม่ได้
นั่นไง “มาร์เกต์ เดอ ลา ดูร์เบลลิเยร์ ฟิลิแบร์ต์ เฌออัน หลุยส์-มารี ฌอร์จ” พ่อหนุ่มร่างโย่งผู้ดีตกยากผู้ครอบครอง
(ชั่วคราว) ของแมนชั่นล้ำค่าที่เก่าคร่ำมีทั้งแมลงนอนตายซากกับเครื่องครัวผ่านยุคสมัยหลายรุ่นที่ไม่มีใครขัด
โน่น “กามีย์
“ อาร์ตติสสาวที่มีรับงานทำความสะอาดเป็นอาชีพหลักด้วยร่างผอมเหมือนบรรจุวิญญาณยับๆไว้ แถมยังมีตาวิเศษที่มองทะลุไปถึงความสวยงามของจิตวิญญาณอื่นได้ นั่น “ฟรองก์ “ เชฟหนุ่มกำยำปากจัดแสนอ่อนไหว ผู้รู้สึกว่ากูไม่ใช่ปัญญาชนเหมือนฟิลิแบร์ต์และกามีย์นะโว้ยอยู่เสมอ และ
นี่ไง “โปเล็ตต์” หญิงชราตัวเล็ก ยายของฟรองก์ นางฟ้าประจำสวนที่ต้องถูกกักขังอยู่ในบ้านพักคนชรา ตัวละครเอกทั้งสี่ที่คนอ่านอ่านไปก็ค่อยๆทั้งรักทั้งลุ้นพวกเขาไป อ่ะลืมไป
ยังมี ตัวละครโปรดอีกตัว มาม่าดู
ขาใหญ่แห่งทีมแม่บ้านทำความสะอาด ซึ่งมีชื่อจริงแสนไพเราะที่อยากให้อ่านนิยายจนจบเพื่อได้รู้ชื่อแสนไพเราะนั้นด้วยตนเอง
ชีวิตเราทุกคนล้วนแหว่งวิ่นมีรูกันทั้งนั้น นิยายเรื่องนี้บอกฉันอย่างนั้น และผู้เขียน
- Anna Gavalda ให้ความเคารพตัวละคร เคารพรูขาดๆที่หลายครั้งมันทำให้เราอยากร่วงลงมาจากที่สูงเพื่อกระแทกให้วิญญาณหลุดออกจากรูนั้น ฉันเล่ามาอย่างนี้ บางคนอาจคิดว่านิยายเรื่องนี้มันต้องอ่านไม่มันแน่ๆ
แต่ไม่หรอก ถึงมันจะเป็นเรื่องของคนแหว่งวิ่นแค่มันก็มีสีสัน เป็นนิยายที่ระยิบระยับเลยล่ะ จะขอยกตัวอย่างความเผ็ดมันและระยิบระยับให้อ่านกันสักนิด
“”ฉันว่า พวกเขาไม่ได้มองสิ่งต่างๆแบบนั้น...ความคิดเรื่องขายไม้จิ้มฟันประจำตระกูลสักอันนึงคงจะทำให้พวกเขารู้สึกว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสมพอๆกับที่นายรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องการเสิร์ฟสลัดผลไม้กระป๋องให้แขกของนายนั่นละ...”
“เวรกรรม และมันก็ไม่ใช่ของดีๆเสียด้วย!
ฉันเห็นกระป๋องเปล่าในครัว...ยี่ห้อลีดเดอร์ไพรซ์! เชื่อเปล่าล่ะ
เธอน่ะ อยู่ในปราสาทมีคูล้อมรอบ มีห้อยโคมระย้า
อยู่บนเนื้อที่เป็นพันๆไร่อย่างนี้แล้วกินอาหารห่วยๆจากลีดเดอร์ไพรซ์เนี่ยนะ! ฉันไม่เข้าใจล่ะ...ให้พวกยามเรียกตัวเองว่าท่านมาร์คควิส
แล้วมาบีบมายองเนสหลอดใส่สลัดผลไม้แบบที่คนจนกินกัน สาบานเลย รับไม่ได้ว่ะ...”
“เอาน่า ใจเย็น มันไม่ได้ร้ายแรงอะไร...”
“ร้ายสิ ร้ายแรงเลยละ แม่ง! ร้ายแรงสิ!
มันหมายความว่ายังไง
การสืบทอดมรดกให้กับลูกๆ ขณะที่ตัวเองพูดกับพวกเขาดีๆยังไม่เป็น! ไม่ล่ะ
นี่เธอเห็นมั้ยว่าเขาพูดจายังไงกับฟิลูเพื่อนฉัน เธอเห็นปากยื่นแหลมๆพูดว่า...”ยังขายโปสต์การ์ดอยู่สินะ
ลูกชาย” ที่ซ่อนความหมายไว้ว่า “ลูกชายหัวทื่ออย่างบื้อ” สาบานเลยว่า ฉันเงี้ยอยากจะตบหัวสักเปรี้ยง...ฟิลูเพื่อนฉันน่ะพ่อพระนะโว้ย
เป็นคนดีเลิศที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาในชีวิต แล้วไอ้คนนั้นมันมาพูดแย่ๆใส่แบบนี้ ไอ้เชี่ยเอ้ย...”
“โธ่เว้ย ฟรองก์ หยุดสบถเสียทีได้มั้ย
ฉิบหายสิ” โปแล็ตต์หงุดหงิด
อึ้งไปเลย ไอ้ไพร่
นอกจากความเผ็ดมันของบทสนทนาแล้ว
ความหวานก็มีหยอดเป็นระยะให้คนอ่านหัวใจฟูฟ่อง คอย เอาใจช่วยไอ้เด็กน้อยในร่างผู้ใหญ่ให้ได้มีความรักดีๆที่ไม่ใช่แค่เซ็กส์บนโซฟาร้องเสี้ยงอู้อ้าลั่นบ้านสักที
“สิ่งที่ทำให้คนเราอยู่ด้วยกันไม่ได้ คือความงี่เง่า ไม่ใช่ความแตกต่าง” ประโยคนี้ไม่ได้มีความหมายคับแคบแค่เรื่องรัก แต่กินรวมไปซะทุกวงการ และนิยายเล่มนี้ไม่ใช่แค่นิยายรักและมิตรภาพทื่อๆที่ขาดความลุ่มลึก เอาแต่ฝันหวานถึงความสุข ถ้าจะสังเกตสักนิดจะเห็นว่าตัวละครหลักล้วนแล้วแต่ปักหมุดหมกมุ่นในสิ่งที่ตัวเองรัก
เราจึงหัวใจพองโตเมื่อเห็นความสำเร็จแม้ใบเล็กๆยอดอ่อนๆสักยอดของพวกเขาผลิบาน
เพียงเรามีกัน แค่นั้นพอ (Ensemble, c’ est tout)
Anna Galvada เขียน
อธิชา มัญชุนากร แปล
สำนักพิมพ์วงกลม , ๒๕๔๙
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น