27 สิงหาคม 2557

ชวนอ่าน : เพียงเรามีกัน แค่นั้นพอ (Ensemble, c’ est tout)



“สิ่งที่ทำให้คนเราอยู่ด้วยกันไม่ได้   คือความงี่เง่า   ไม่ใช่ความแตกต่าง”

นิยายความยาวเกือบเจ็ดร้อยหน้าของ Anna Galvada เล่มนี้ ฉันซื้อมาในราคายี่สิบบาท   แต่ความสุขในการอ่านนั้น ถ้าคิดเป็นเม็ดเงินคงมูลค่าหลักแสน   “เพียงเรามีกัน  แค่นั้นพอ”   (Ensemble, c’ est  tout) อัดแน่นด้วยมิตรภาพของสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกัน  อัดแน่นด้วยความรักในสิ่งมีชีวิตที่เรามองเพียงเผินไม่ได้   

นั่นไง “มาร์เกต์ เดอ ลา ดูร์เบลลิเยร์  ฟิลิแบร์ต์ เฌออัน หลุยส์-มารี ฌอร์จ” พ่อหนุ่มร่างโย่งผู้ดีตกยากผู้ครอบครอง (ชั่วคราว) ของแมนชั่นล้ำค่าที่เก่าคร่ำมีทั้งแมลงนอนตายซากกับเครื่องครัวผ่านยุคสมัยหลายรุ่นที่ไม่มีใครขัด      โน่น “กามีย์ “ อาร์ตติสสาวที่มีรับงานทำความสะอาดเป็นอาชีพหลักด้วยร่างผอมเหมือนบรรจุวิญญาณยับๆไว้  แถมยังมีตาวิเศษที่มองทะลุไปถึงความสวยงามของจิตวิญญาณอื่นได้      นั่น “ฟรองก์ “  เชฟหนุ่มกำยำปากจัดแสนอ่อนไหว ผู้รู้สึกว่ากูไม่ใช่ปัญญาชนเหมือนฟิลิแบร์ต์และกามีย์นะโว้ยอยู่เสมอ     และ นี่ไง “โปเล็ตต์” หญิงชราตัวเล็ก ยายของฟรองก์  นางฟ้าประจำสวนที่ต้องถูกกักขังอยู่ในบ้านพักคนชรา    ตัวละครเอกทั้งสี่ที่คนอ่านอ่านไปก็ค่อยๆทั้งรักทั้งลุ้นพวกเขาไป   อ่ะลืมไป  ยังมี ตัวละครโปรดอีกตัว   มาม่าดู ขาใหญ่แห่งทีมแม่บ้านทำความสะอาด ซึ่งมีชื่อจริงแสนไพเราะที่อยากให้อ่านนิยายจนจบเพื่อได้รู้ชื่อแสนไพเราะนั้นด้วยตนเอง

ชีวิตเราทุกคนล้วนแหว่งวิ่นมีรูกันทั้งนั้น    นิยายเรื่องนี้บอกฉันอย่างนั้น    และผู้เขียน -  Anna Gavalda ให้ความเคารพตัวละคร   เคารพรูขาดๆที่หลายครั้งมันทำให้เราอยากร่วงลงมาจากที่สูงเพื่อกระแทกให้วิญญาณหลุดออกจากรูนั้น   ฉันเล่ามาอย่างนี้  บางคนอาจคิดว่านิยายเรื่องนี้มันต้องอ่านไม่มันแน่ๆ แต่ไม่หรอก ถึงมันจะเป็นเรื่องของคนแหว่งวิ่นแค่มันก็มีสีสัน  เป็นนิยายที่ระยิบระยับเลยล่ะ   จะขอยกตัวอย่างความเผ็ดมันและระยิบระยับให้อ่านกันสักนิด

“”ฉันว่า พวกเขาไม่ได้มองสิ่งต่างๆแบบนั้น...ความคิดเรื่องขายไม้จิ้มฟันประจำตระกูลสักอันนึงคงจะทำให้พวกเขารู้สึกว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสมพอๆกับที่นายรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องการเสิร์ฟสลัดผลไม้กระป๋องให้แขกของนายนั่นละ...”

“เวรกรรม และมันก็ไม่ใช่ของดีๆเสียด้วย!  ฉันเห็นกระป๋องเปล่าในครัว...ยี่ห้อลีดเดอร์ไพรซ์! เชื่อเปล่าล่ะ เธอน่ะ อยู่ในปราสาทมีคูล้อมรอบ มีห้อยโคมระย้า อยู่บนเนื้อที่เป็นพันๆไร่อย่างนี้แล้วกินอาหารห่วยๆจากลีดเดอร์ไพรซ์เนี่ยนะ! ฉันไม่เข้าใจล่ะ...ให้พวกยามเรียกตัวเองว่าท่านมาร์คควิส แล้วมาบีบมายองเนสหลอดใส่สลัดผลไม้แบบที่คนจนกินกัน สาบานเลย รับไม่ได้ว่ะ...”

“เอาน่า ใจเย็น มันไม่ได้ร้ายแรงอะไร...”

“ร้ายสิ ร้ายแรงเลยละ แม่ง! ร้ายแรงสิ! มันหมายความว่ายังไง  การสืบทอดมรดกให้กับลูกๆ ขณะที่ตัวเองพูดกับพวกเขาดีๆยังไม่เป็น ไม่ล่ะ นี่เธอเห็นมั้ยว่าเขาพูดจายังไงกับฟิลูเพื่อนฉัน เธอเห็นปากยื่นแหลมๆพูดว่า...”ยังขายโปสต์การ์ดอยู่สินะ ลูกชาย” ที่ซ่อนความหมายไว้ว่า “ลูกชายหัวทื่ออย่างบื้อ”  สาบานเลยว่า ฉันเงี้ยอยากจะตบหัวสักเปรี้ยง...ฟิลูเพื่อนฉันน่ะพ่อพระนะโว้ย เป็นคนดีเลิศที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาในชีวิต แล้วไอ้คนนั้นมันมาพูดแย่ๆใส่แบบนี้   ไอ้เชี่ยเอ้ย...”

“โธ่เว้ย ฟรองก์   หยุดสบถเสียทีได้มั้ย ฉิบหายสิ” โปแล็ตต์หงุดหงิด

อึ้งไปเลย ไอ้ไพร่


นอกจากความเผ็ดมันของบทสนทนาแล้ว  ความหวานก็มีหยอดเป็นระยะให้คนอ่านหัวใจฟูฟ่อง  คอย เอาใจช่วยไอ้เด็กน้อยในร่างผู้ใหญ่ให้ได้มีความรักดีๆที่ไม่ใช่แค่เซ็กส์บนโซฟาร้องเสี้ยงอู้อ้าลั่นบ้านสักที

สิ่งที่ทำให้คนเราอยู่ด้วยกันไม่ได้   คือความงี่เง่า   ไม่ใช่ความแตกต่าง ประโยคนี้ไม่ได้มีความหมายคับแคบแค่เรื่องรัก แต่กินรวมไปซะทุกวงการ  และนิยายเล่มนี้ไม่ใช่แค่นิยายรักและมิตรภาพทื่อๆที่ขาดความลุ่มลึก  เอาแต่ฝันหวานถึงความสุข  ถ้าจะสังเกตสักนิดจะเห็นว่าตัวละครหลักล้วนแล้วแต่ปักหมุดหมกมุ่นในสิ่งที่ตัวเองรัก  เราจึงหัวใจพองโตเมื่อเห็นความสำเร็จแม้ใบเล็กๆยอดอ่อนๆสักยอดของพวกเขาผลิบาน


เพียงเรามีกัน แค่นั้นพอ (Ensemble, c’ est tout)
Anna Galvada เขียน
อธิชา มัญชุนากร แปล

สำนักพิมพ์วงกลม , ๒๕๔๙