15 พฤศจิกายน 2557

ใครๆก็มีครั้งแรก : คราวนี้ก็ครั้งแรกกับนอนสนามบินคันไซ อาบน้ำที่สนามบินคันไซ :)



เจ้าของบล็อกหนีไปเที่ยวมาเมื่อเดือนก่อนค่ะ   ปกติไม่ค่อยอยากเล่าประสบการณ์ท่องเที่ยวญี่ปุ่นของตัวเองเท่าไหร่เพราะไม่ได้เชี่ยวชาญอะไร อาศัยหาข้อมูลไปเรื่อยๆค่ะ  ถูกบ้าง  งงบ้าง หลงบ้าง แต่ในที่สุดก็คิดว่าเอาที่เล่าให้เพื่อนๆใน fb อ่านมาแปะไว้ในบล็อกก็น่าจะดี   ตัวเองได้ข้อมูลมาจากบล็อกเกอร์ที่เชี่ยวเรื่องญี่ปุ่นบ้าง เรื่องเล่าต่างๆในเว็บบ้าง   ถ้าเราเล่าไว้ในโซเชียลมีเดียก็อาจจะเป็นประโยชน์กับคนที่สนใจบ้าง  งานนี้ขอก๊อปปี้จาก fb มาแปะเลยแล้วกันนะคะ   ^_^
__________________

ย้อนอดีตเล่าประสบการณ์สักหน่อย  เผื่อใครใช้สายการบินแอร์เอเชียอย่างเราไปลงสนามบินคันไซแล้วมีแผนเที่ยวเกียวโตก่อน  (ตอนนั้นมันใกล้เทศกาล Jidai Matsuri ที่อยากไปดูและถ่ายรูป  จะย้ายมาเที่ยวโอซะกะก่อนก็ไม่ได้)

แน่ละ  ตอนนั้นถึงจะบินตรงแต่กว่าจะถึงสนามบินคันไซก็ 23.50 น.  ถ้าอยากพักโอซะกะ  ผ่าน ตม. สอยกระเป๋าแล้วยังมีรถไฟเที่ยวพิเศษวิ่ง (ตีหนึ่งกว่าก็ยังมี) เข้าตัวเมืองโอซะกะ    แต่ไอ้เราอยากซื้อบัตร icoca+ตั๋วรถไฟ Haruka วิ่งตรงไปเกียวโตในราคาพิเศษสุดๆ (ซึ่งก็ซื้อได้ที่สนามบินเท่านั้น) นี่  จะยังไงดี  ไปนอนโรงแรมใกล้ๆแล้วกลับมาสนามบินคันไซตอนเช้าก็ดูเสียเงินเสียเวลาซ้ำซ้อน   ป้าลุงหัวใจไม่วัยรุ่นแต่งบฯน้อยเลยตัดสินในนอนสนามบิน

ที่สนามบินคันไซ  ถ้ามาถึงก่อนสี่ทุ่ม (เอ๊ะ หรือห้าทุ่ม)  ทางสนามบินมีผ้าห่มให้ยืมด้วยนะคะ   เอาเลย  เลือกเบาะนั่งแล้วหลับเลยค่า   แต่คืนนั้นกว่าเราจะฝ่า ตม.ญี่ปุ่น (ที่คืนนั้นมีขาโหด  พี่แกออกงิ้วจนอิฉันนึกว่ามีใครหนีเข้าเมืองมารึไง) ออกมาก็ตีหนึ่งแล้วเลยไม่ได้ไปรับผ้าห่มเพราะเคาน์เตอร์ปิดแล้ว   แต่เราไม่ได้หมักหมู เอ๊ย หมักหมมโสมมใดๆค่ะ  เพราะเรามีห้องอาบน้ำที่สนามบิน ฮี่ๆๆ   ซึ่งถ้าเสียเงินไม่มากและไวทันจองเก้าอี้ใน KIX Lounge จะเสียค่าบริการใช้ห้องอาบน้ำในราคาพิเศษ (เพราะเสียเงินค่าที่นั่งในเลาจ์ไปแล้ว)   แต่ซอกมุมใน KIX Lounge ที่มีเก้าอี้เหมาะกับยืดตัวนอนสำหรับสองคนป้าลุงโดนสอยตัดหน้าไปแล้ว  เราเลยต้องจ่าย 510 เยนขาดตัว!  ถ้าไม่มีผ้าเช็ดตัวก็เช่าได้เสียตังค์เพิ่มอีกนิดหน่อย ค่ะ (จำไม่ได้เพราะป้าลุงมีผ้ามาเองพร้อม)

510 เยนเป็นค่าอะไรบ้าง...510 เยน   เป็นค่าใช้ห้องอาบน้ำซึ่งเปิดมาจะเจอโต๊ะติดผนังพร้อมโคมไฟให้เรานั่งเพ้อหรือจะงีบหรือจะใช้แต่งตัวก็ได้ 1 ชั่วโมง   ในระหว่าง 1 ชม.  เราสามารถใช้ฝักบัวเปิดน้ำซู่ๆได้ 15 นาที  จะอาบไปสามนาทีแล้วมานั่งหลับแล้วค่อยไปอาบต่ออีกห้ารอบรอบละสองนาทีก็ได้    ป้าลองอาบดู  อู้หู น้ำแรงเฟ้ย  อุ่น สบายมาก  ในห้องอาบน้ำจะมีปุุ่ม start / stop น้ำจากฝักบัว    เวลาฟอกสบู่ก็กดปุ่ม stop หยุดน้ำก็ได้    ป้าทั้งอาบทั้งสระผม  รวมแล้วใช้ไป 4 นาที อาบแบบไวเป็นลิงเลย (แต่สะอาดนะฮะ)  แต่ก็นะ  เสียตังค์ไปแล้ว  ป้าเลยอาบต่อฟอกๆถูๆ  (สบู่เหลวและแชมพูมีให้พร้อมในห้อง  ใช้ตามสบายแต่อย่ากดใส่ขวดกลับบ้านล่ะ)  ได้อาบน้ำอุ่นหลังเดินทางมันช่างฟิน   แต่ถูจนตัวเปื่อยก็เปิดน้ำไป 12 นาทีค่ะ  ใช้ไม่ถึงลิมิตจริงๆ ไม่ไหว หนังกำพร้าจะหลุดแล้ว   สระผมเสร็จ  มีเครื่องเป่าผมให้ด้วย   ขอสารภาพว่าอิป้าออกจากห้องน้ำงามงด  แอบแต่งหน้านิดนึง เผื่อตอนเช้าใครมาเห็นตอนป้าเพิ่งตื่นจะตกใจ

โอ้  กะว่าจะเล่าแค่ว่าที่สนามบินคันไซ  อาบน้ำได้สบายใจแต่ก็ดันพล่ามมายาวมาก  จะมีคนอ่านจนจบไหมเนี่ย  >.<



11 พฤศจิกายน 2557

มีปลาในทะเล มีทะเลในปลา

ไม่ได้อัพ blog นานมาก   นานๆมาทีก็มาอัพรูปวาดของตัวเองไว้เฉยๆอีก

ไว้จะขยันเขียน ขยันเล่ามากกว่านี้ในคราวหน้า  นะ นะ นะ (ย้ำกับตัวเองไว้ดังๆในใจ)  :)


21 กันยายน 2557

ชวนอ่าน : กุหลาบที่หายไป


หายตัวจากบล็อกไปนาน  วันนี้เอาเรื่องหนังสือที่เพิ่งอ่านจบมาแปะไว้ซักหน่อยดีกว่า :)


สำหรับคนที่เคยอ่านเจ้าชายน้อย,  ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน และ โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล แล้ว  การได้อ่าน “กุหลาบที่หายไป” เหมือนการทบทวนตัวเองอีกครั้งว่าตนเองนั้นเป็นใครกันแน่  และถ้าลืมไปแล้วว่าตนเองเคยฟังเสียงกุหลาบได้   นิยายเรื่องนี้คือโอกาสที่จะเรียนรู้วิธ๊ฟังกุหลาบพูดคุยกันได้อีกครั้ง 

นิยายว่าด้วยการเดินทางของหญิงสาวคนหนึ่งข้ามฟากจากบราซิลไปยังริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรนียนของตุรกีเพื่อหาคำตอบให้กับชีวิตเธอเอง   คนอ่านชอบช่วงที่ อาร์ทิมิสโต้เถียงกับมีเรียม (คนที่ชอบอ่านตำนานปรัมปรา ขณะที่อ่านนิยายเรื่องนี้น่าจะสนุกกับชื่อตัวละครที่ล้อกันไปมาตลอดเรื่อง) เลยขอยกบทสนทนามาเล่าไว้ตรงนี้นิดหน่อย

“ฉันไม่ใช่กุหลาบ ยายดอกไม้โง่!” อาร์ทิมิสพูด “ฉันเป็นเทพี!
“ถ้าการสวม”หน้ากากแห่งความยิ่งใหญ่”นั่นทำให้เธอมีความสุขก็จงอย่าถอดมันออก  สวมเอาไว้ จงพร่ำพูดว่า “ฉัน” แต่จงรู้ไว้ด้วยว่ามีราคาที่ต้องจ่าย  จงรู้ไว้ว่าราคาของการพูดว่า”ฉัน”ตลอดเวลาคือการหลงลืมตัวตนที่แท้จริง...”
........
“เอาละ อาร์ทิมิส...เธอจะทำไหม”
อาร์ทิมิสไม่ตอบ
“ได้โปรด” มีเรียมพูด “เธอจดจำการเป็นดอกกุหลาบได้ใช่ไหม”

และอีกส่วนหนึ่งของนิยายที่คนอ่านชอบมาก  คือ สมการที่ตัวละครตัวหนึ่งยกมาเปรียบเรื่องความเป็นไปได้ในการได้ยินเสียงกุหลาบ  นี่คือการอธิบายสิ่งที่ดูเหนือจริงด้วยคณิตศาสตร์  ....ไม่รู้ว่านักคณิตศาสตร์ตัวจริงจะรู้สึกโรแมนติคกับสมการนี้เหมือนคนอ่านไหม

“ฉันแน่ใจว่าเธอมีความรู้เรื่องคณิตศาสตร์มากกว่าฉัน  ไดอานา  แต่ฉันก็ยังอยากจะพูดสั้นๆถึงคุณค่าทางคณิตศาสตร์ของสมการนี้ให้เธอฟัง
“ถ้าเราหยิบสมการใดๆขึ้นมา  ๑ หารด้วยตัวเลขอะไรสักตัว...ยิ่งตัวเลขที่นำมาหาร ๑ นั้นเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่  ตัวคำตอบของสมการก็จะมีเลขศูนย์นำหน้าเลขหนึ่งที่อยู่หลังจุดทศนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ  ถ้าเราหาร ๑ ด้วยอินฟีนิตี  คำตอบก็จะมีเลขศูนย์นำหน้าเลข ๑ เท่ากับอินฟินิตี ดังนั้น คำตอบก็จะเป็นศูนย์จุดศูนย์ศูนย์ศูนย์เป็นจำนวนอินฟินิตี  แต่แม้ว่าเราจะไม่เห็นมัน ก็ยังคงมีเลข ๑ อยู่ปลายสุดของคำตอบเสมอ มันจึงเป็นศูนย์ แต่เป็นศูนย์พิเศษที่ลงท้ายด้วย ๑ แม้ว่ามันจะถูกปกปิดด้วยอินฟินิตีจนมองไม่เห็น


“เอาละ ตรงนี้สำคัญมาก ขณะที่สมการบอกเราว่า ความน่าจะเป็นของการทายเพลงถูกด้วยการเดานั้นเท่ากับศูนย์ แต่มันก็บอกใบ้ด้วยว่า ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะทายคำตอบที่ถูกต้องออกมา เพราะยังมีเลข ๑ อยู่ตรงท้าย...”

เมื่ออ่านนิยายเรื่องนี้จบแล้ว   คนอ่านนึกถึงตนเองและนึกขอให้ “ศูนย์พิเศษ” เป็นสมการในหัวใจของคนที่อ่อนล้าค่ะ ...แม้ว่ามันจะถูกปกปิดด้วยอินฟินิตีจนมองไม่เห็น  ความเป็นไปได้แม้เพียง “๑” นั้น ยังคงอยู่ที่ปลายสุดของคำตอบเสมอ

กุหลาบที่หายไป (The Missing Rose)
Serdar Ozkan เขียน
มนทรัตม์ แปล

แพรวสำนักพิมพ์ , ๒๕๕๓

27 สิงหาคม 2557

ชวนอ่าน : เพียงเรามีกัน แค่นั้นพอ (Ensemble, c’ est tout)



“สิ่งที่ทำให้คนเราอยู่ด้วยกันไม่ได้   คือความงี่เง่า   ไม่ใช่ความแตกต่าง”

นิยายความยาวเกือบเจ็ดร้อยหน้าของ Anna Galvada เล่มนี้ ฉันซื้อมาในราคายี่สิบบาท   แต่ความสุขในการอ่านนั้น ถ้าคิดเป็นเม็ดเงินคงมูลค่าหลักแสน   “เพียงเรามีกัน  แค่นั้นพอ”   (Ensemble, c’ est  tout) อัดแน่นด้วยมิตรภาพของสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกัน  อัดแน่นด้วยความรักในสิ่งมีชีวิตที่เรามองเพียงเผินไม่ได้   

นั่นไง “มาร์เกต์ เดอ ลา ดูร์เบลลิเยร์  ฟิลิแบร์ต์ เฌออัน หลุยส์-มารี ฌอร์จ” พ่อหนุ่มร่างโย่งผู้ดีตกยากผู้ครอบครอง (ชั่วคราว) ของแมนชั่นล้ำค่าที่เก่าคร่ำมีทั้งแมลงนอนตายซากกับเครื่องครัวผ่านยุคสมัยหลายรุ่นที่ไม่มีใครขัด      โน่น “กามีย์ “ อาร์ตติสสาวที่มีรับงานทำความสะอาดเป็นอาชีพหลักด้วยร่างผอมเหมือนบรรจุวิญญาณยับๆไว้  แถมยังมีตาวิเศษที่มองทะลุไปถึงความสวยงามของจิตวิญญาณอื่นได้      นั่น “ฟรองก์ “  เชฟหนุ่มกำยำปากจัดแสนอ่อนไหว ผู้รู้สึกว่ากูไม่ใช่ปัญญาชนเหมือนฟิลิแบร์ต์และกามีย์นะโว้ยอยู่เสมอ     และ นี่ไง “โปเล็ตต์” หญิงชราตัวเล็ก ยายของฟรองก์  นางฟ้าประจำสวนที่ต้องถูกกักขังอยู่ในบ้านพักคนชรา    ตัวละครเอกทั้งสี่ที่คนอ่านอ่านไปก็ค่อยๆทั้งรักทั้งลุ้นพวกเขาไป   อ่ะลืมไป  ยังมี ตัวละครโปรดอีกตัว   มาม่าดู ขาใหญ่แห่งทีมแม่บ้านทำความสะอาด ซึ่งมีชื่อจริงแสนไพเราะที่อยากให้อ่านนิยายจนจบเพื่อได้รู้ชื่อแสนไพเราะนั้นด้วยตนเอง

ชีวิตเราทุกคนล้วนแหว่งวิ่นมีรูกันทั้งนั้น    นิยายเรื่องนี้บอกฉันอย่างนั้น    และผู้เขียน -  Anna Gavalda ให้ความเคารพตัวละคร   เคารพรูขาดๆที่หลายครั้งมันทำให้เราอยากร่วงลงมาจากที่สูงเพื่อกระแทกให้วิญญาณหลุดออกจากรูนั้น   ฉันเล่ามาอย่างนี้  บางคนอาจคิดว่านิยายเรื่องนี้มันต้องอ่านไม่มันแน่ๆ แต่ไม่หรอก ถึงมันจะเป็นเรื่องของคนแหว่งวิ่นแค่มันก็มีสีสัน  เป็นนิยายที่ระยิบระยับเลยล่ะ   จะขอยกตัวอย่างความเผ็ดมันและระยิบระยับให้อ่านกันสักนิด

“”ฉันว่า พวกเขาไม่ได้มองสิ่งต่างๆแบบนั้น...ความคิดเรื่องขายไม้จิ้มฟันประจำตระกูลสักอันนึงคงจะทำให้พวกเขารู้สึกว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสมพอๆกับที่นายรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องการเสิร์ฟสลัดผลไม้กระป๋องให้แขกของนายนั่นละ...”

“เวรกรรม และมันก็ไม่ใช่ของดีๆเสียด้วย!  ฉันเห็นกระป๋องเปล่าในครัว...ยี่ห้อลีดเดอร์ไพรซ์! เชื่อเปล่าล่ะ เธอน่ะ อยู่ในปราสาทมีคูล้อมรอบ มีห้อยโคมระย้า อยู่บนเนื้อที่เป็นพันๆไร่อย่างนี้แล้วกินอาหารห่วยๆจากลีดเดอร์ไพรซ์เนี่ยนะ! ฉันไม่เข้าใจล่ะ...ให้พวกยามเรียกตัวเองว่าท่านมาร์คควิส แล้วมาบีบมายองเนสหลอดใส่สลัดผลไม้แบบที่คนจนกินกัน สาบานเลย รับไม่ได้ว่ะ...”

“เอาน่า ใจเย็น มันไม่ได้ร้ายแรงอะไร...”

“ร้ายสิ ร้ายแรงเลยละ แม่ง! ร้ายแรงสิ! มันหมายความว่ายังไง  การสืบทอดมรดกให้กับลูกๆ ขณะที่ตัวเองพูดกับพวกเขาดีๆยังไม่เป็น ไม่ล่ะ นี่เธอเห็นมั้ยว่าเขาพูดจายังไงกับฟิลูเพื่อนฉัน เธอเห็นปากยื่นแหลมๆพูดว่า...”ยังขายโปสต์การ์ดอยู่สินะ ลูกชาย” ที่ซ่อนความหมายไว้ว่า “ลูกชายหัวทื่ออย่างบื้อ”  สาบานเลยว่า ฉันเงี้ยอยากจะตบหัวสักเปรี้ยง...ฟิลูเพื่อนฉันน่ะพ่อพระนะโว้ย เป็นคนดีเลิศที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาในชีวิต แล้วไอ้คนนั้นมันมาพูดแย่ๆใส่แบบนี้   ไอ้เชี่ยเอ้ย...”

“โธ่เว้ย ฟรองก์   หยุดสบถเสียทีได้มั้ย ฉิบหายสิ” โปแล็ตต์หงุดหงิด

อึ้งไปเลย ไอ้ไพร่


นอกจากความเผ็ดมันของบทสนทนาแล้ว  ความหวานก็มีหยอดเป็นระยะให้คนอ่านหัวใจฟูฟ่อง  คอย เอาใจช่วยไอ้เด็กน้อยในร่างผู้ใหญ่ให้ได้มีความรักดีๆที่ไม่ใช่แค่เซ็กส์บนโซฟาร้องเสี้ยงอู้อ้าลั่นบ้านสักที

สิ่งที่ทำให้คนเราอยู่ด้วยกันไม่ได้   คือความงี่เง่า   ไม่ใช่ความแตกต่าง ประโยคนี้ไม่ได้มีความหมายคับแคบแค่เรื่องรัก แต่กินรวมไปซะทุกวงการ  และนิยายเล่มนี้ไม่ใช่แค่นิยายรักและมิตรภาพทื่อๆที่ขาดความลุ่มลึก  เอาแต่ฝันหวานถึงความสุข  ถ้าจะสังเกตสักนิดจะเห็นว่าตัวละครหลักล้วนแล้วแต่ปักหมุดหมกมุ่นในสิ่งที่ตัวเองรัก  เราจึงหัวใจพองโตเมื่อเห็นความสำเร็จแม้ใบเล็กๆยอดอ่อนๆสักยอดของพวกเขาผลิบาน


เพียงเรามีกัน แค่นั้นพอ (Ensemble, c’ est tout)
Anna Galvada เขียน
อธิชา มัญชุนากร แปล

สำนักพิมพ์วงกลม , ๒๕๔๙

23 กุมภาพันธ์ 2557

หัดเดินตามเป็ด

หัดเดินตามเป็ด

เอาล่ะสิ ทีนี้เลยบินได้ แต่ก็บินได้ไม่สูง  ว่ายน้ำได้แต่ว่ายไม่แข็ง เดินได้แต่ก็ตุปัดตุเป๋

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ดีใจที่เป็นเป็ด  ขอเป็นเป็ดไล่ทุ่ง มีอิสระเสรี ไม่มีใครจับไปตุ๋นเป็นเป็ดพะโล้ก่อนก็แล้วกัน  (เจ้าเป็ดกับเด็กน้อยที่ฉันวาดก็ดูร่าเริงดีใช่มั้ย)  :)

บ่นเรื่อยเปื่อยในวันที่อากาศร้อน  วันที่หน่ายกับการนัดออดิชั่นเสียงพากย์ที่สับสนงงงวย วันที่อุณหภูมิการเมืองร้อนแรง...แถมใจฉันก็ยังร้อนตามไปด้วย


14 มกราคม 2557

ประวัติศาสตร์ที่กินเข้าไปได้


เล่าไว้ใน aimmo ที่ wordpress แล้ว แต่ขอเล่าซ้ำในนี้นะคะ

ในครัว ฐานะของดิฉันมักจะอยู่ลำดับมือล้างจานที่บ้านแม่  หลังจากแต่งงาน-ย้ายมาอยู่กับคนรักกันสองคน ฉันก็ยังเป็นมือรองในครัวอยู่ดี

แต่ถึงจะเป็นมือรอง  เราก็ต้องหัดทำจานเด็ดไว้บ้าง :P

ช่วงแรกบ้านเอมโม่ก็ซื้ออาหารสำเร็จรูปมาแบ่งใส่ช่องฟรีซไว้ทยอยอุ่นกินเป็นมื้อๆนะคะ แต่หลังจากเราทั้งคู่เลิกทำงานประจำก็จัดสรรเวลาให้บ้านได้ดีขึ้น  เราอยากทำอาหารกินเองเพราะอยากประหยัด ขณะเดียวกันก็ได้กินอาหารมีคุณภาพ  ที่จริงพยายามปลูกผักกินเองด้วยค่ะ แต่ความที่วินัยต่ำ ตอนนนี้ที่บ้านเลยมีแค่ผักชีฝรั่งที่เติบโตขยายต้นดีกับโหระพาต้นเล็ก กะเพราสองต้นจิ๋วที่ยังไม่พร้อมให้เราเด็ดไปผัด

ได้แต่ปลอบตัวเองว่าค่อยๆเริ่มไปเนอะ  อย่าไปเครียด  ต้นอ่อนตายก็พยายามปลูกใหม่ซะ

อาหารจานเด็ดที่มือรองคนนี้พอทำได้ก็พวกต้มซุปไก่  ผัดสะบัดช่อที่ได้สูตรมาจากเว็บไซต์คุณพิมจากห้องก้นครัว  แต่มันก็ยังเด็ดไม่พอเพราะไม่ใช่อาหารโปรดคนร่วมบ้าน  มันเลยชวนให้ Self-Esteem ในส่วนนี้ตกต่ำ แพ้คู่ต่อสู้  (สามี) ค่ะ     บังเอิ๊ญว่าได้กะปิอร่อยมาจากแม่  นึกไปนึกมา “หมูผัดกะปิ” น่าจะเป็นจานเด็ดพอสูสีกับน้ำตกคอหมูของสามีได้เลยค้นอากู๋จนเจอสูตรของคุณชายกางแห่งพันทิป   เข้าทาง ลองทำดีกว่า

ระหว่างตำเครื่องก็นึกโรแมนติคกับเครื่องผัด เครื่องแกงค่ะ…พวกบรรดาพืชผักสมุนไพรนานาที่เอามาตำๆ ต่างกันไปตามประเภทผัดแกงนี่มันเป็นการส่งต่อการค้นพบค้นคว้าจากรุ่นสู่รุ่นลงมาเรื่อย   เป็นประวัติศาสตร์ที่กินเข้าไปได้  อิ่มเอมยิ้มแก้มปริกับประวัติศาสตร์นี้ได้ทันทีที่ได้กลิ่นหอมแล้วเคี้ยวกลืน

มือใหม่หัดทำอาหารเป็นเหมือนกันไหมคะ  โรแมนติคกับเรื่องแบบนี้ :>