11 ธันวาคม 2556

เกิดสงครามพันครั้ง เด็ก(ใสๆ) ก็ยังสวยงาม

หลังจากหายตัวไปญี่ปุ่นมาสองสัปดาห์  กลับมาเมืองไทย...ภาวะการเมืองและความคิดเห็นทางการเมืองก็ร้อนระอุได้ที่

ส่วนตัวคนวาดเชื่อว่าการตื่นตัวทางการเมืองและแสดงออกทางการเมืองโดยไม่ใช่วิธีโปรยคำผรุสวาทบนเฟซบุ๊ครวมทั้งไม่ใช้ความรุนแรงเป็นเรื่องดีค่ะ  แต่อย่างไรก็ตามเวลาแบบนี้ ก็มักจะมีสงครามการเชือดเฉือนด้วยวาจาหรือสเตตัสต่างๆในโลกโซเชียลอยู่ดี  พอเจอมากๆ  คนวาดใจเล็กก็มักจะหันไปพักใจมองเด็กเล็กๆที่ยังไร้เดียงสาแก้อาการเครียดกับไปเล่นกับแมวค่ะ  ไม่รู้ว่าคนอื่นมีวิธีอะไรบ้างนะคะ

ปกติ เอมโม่ไม่ค่อยชอบเด็กค่ะโดยเฉพาะเด็กที่ถูกปรุงแต่งให้บุคลิกภายนอกเกินวัย  แต่ก็ชักเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณปู่หรือคุณย่า (แม้แต่ยักษ์!) ใจร้ายหน้าหงิกในวรรณกรรมเยาวชนถึงมักเสียท่าถูกเด็กๆดัดนิสัยได้ในที่สุด

ความบริสุทธิ์จริงใจคงเหมือนน้ำสะอาดที่เทลงไปล้างใจเลอะๆนะคะ  เทน้ำลงไปมากๆสม่ำเสมอก็พอจะล้างรอยเลอะได้บ้าง

เขียนถึงเด็กๆ  เลยเอารูปเด็กๆที่ตัวเองไม่ค่อยได้วาดมาประกอบไปด้วย :)


4 ตุลาคม 2556

จิตวิญญาณของป่า



ที่ประเทศไทย  ตอนนี้ในบรรดาผู้คนที่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม  นักอนุรักษ์ทั้งตัวจริงและสมัครเล่น  คนรักต้นไม้ คนรักสัตว์ป่ากำลังสนใจในเรื่องการบริหารจัดการน้ำและการสร้างเขื่อนค่ะ

ประเด็นที่สนใจก็มีทั้งเรื่องการคอรัปชั่น  ความคุ้มค่าในการก่อสร้างและเรื่องระบบนิเวศที่จะเสียไปหากมีการใช้พื้นที่ป่าไม้มาเป็นพื้นที่เขื่อน  ความเดือดร้อนของคนในพื้นที่น้ำท่วมถึงซึ่งพบกับน้ำท่วมทุกปี

มีการเดินเท้าเพื่อคัดค้านรายงานผลการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง (EHIA) Environmental Health Impact Assessment ของเขื่อนแม่วงก์ซึ่งมีแผนสร้างขึ้นในบริเวณป่าที่มีสัตว์ป่าหลายชนิดอาศัยและเป็นพื้นที่หากิน เช่นเสือโคร่ง นกเงือก นกยูง สมเสร็จและสัตว์ป่าอีกหลายประเภท

ตัวฉันเองก็ไปร่วมเดินเท้าเพื่อคัดค้านด้วย  ในช่วงระยะเดินในกรุงเทพ ตั้งแต่หน้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ถึงหอศิลป์ กทม.  ที่ไปไม่ใช่เพราะเป็นนักอนุรักษ์ตัวยง  แต่เพื่อความเชื่อของตนเองที่มีว่าเราต้องเคารพพื้นที่ดำรงชีวิตของกันและกัน ทั้งคนและสัตว์  ทุกชีวิตมีความเท่าเทียมกันก็แค่ตรงนี้ค่ะ  แค่การมีสิทธิ์มีชีวิตบนโลก   

สำหรับคนที่เชื่อว่าในทุกสิ่งรอบตัว ถึงไม่มีชีวิตเดินเหินได้อย่างสิ่งมีชีวิตอื่นๆแต่หากได้รับความผูกพัน ได้มีโอกาสอยู่บนโลกนี้เพียงพอ...ต้องมีจิตวิญญาณในนั้นแน่ๆอย่างฉัน  การออกเสียงตัวเองแทนจิตวิญญาณเหล่านั้นเป็นเรื่องสำคัญค่ะ  ดังนั้นสิ่งใดที่ทำแล้วไม่เบียดเบียนตัวเองนักก็อยากจะทำให้เพื่อจิตวิญญาณเหล่านั้น

ในหมู่คนที่รักศิลปะ ทั้งสนใจในการวาดรูปและสนใจในภาพถ่ายก็มีการรวมตัวกันเพื่อแชร์งานของตนเองที่ทำเป็น Cover Photo สำหรับ facebook เพื่่อคัดค้าน EHIA ชิ้นนี้และต่อต้านเขื่อนค่ะ  ตัว aimmo เองก็มีน้องที่รู้จักกันชักชวนให้ร่วมโครงการนี้ด้วย  ถึงแม้เราจะเป็นแค่นักวาดภาพสมัครเล่น

ภาพข้างบนนี้คือภาพที่ฉันวาดเพื่อร่วมโครงการค่ะ  มีการปรับขนาดภาพในพอดีขนาด cover photo แล้วต่างจากนี้บ้างแต่ไม่มาก  ส่วนภาพข้างล่างตือความรู้สึกของฉันเอง

จิตวิญญาณของพื้นแผ่นดิน ผืนป่าที่เกื้อกูลกันและกันกับสรรพสัตว์และต้นไม้คงรู้สึกเจ็บปวดแบบนี้


 ถ้าภาพของฉันจะทำให้ใครสักคนรับรู้และเข้าใจความเจ็บปวดนี้ได้  ฉันก็พอใจค่ะ  แต่ถ้ามันสะเทือนความรู้สึกถึงคนหมู่มากได้ก็ยิ่งยินดี  ฉันจึงวาดและนำสองภาพนี้มาโพส :)



24 กันยายน 2556

วาดภาพแบบอนาล็อกผสมดิจิตอล :P

ไม่ได้อัพบล็อกซะนานเพราะเข้าใช้ blogspot ไม่ได้และเข้า gmail ไม่ได้ด้วย  ตอนแรกก็นึกว่าแอคเคานท์โดนแฮ็คหรืออะไรไปไกลเลยนะคะ แต่พอลองเปลี่ยนจาก Chrome มาเป็น Firefox ก็เปิดได้ปกติ

ตลกดี ใช้ Chrome กลับเปิด gmail ไม่ได้ -_-')


ช่วงที่เข้าใช้ gmail ไม่ได้  เป็นช่วงเดียวกับที่เอมได้แท็บเลต Ipad Mini มาพอดี ...โปรเจ็คท์ที่คิดจะซื้อกราฟฟิค แท็บเลตอย่าง Wacom Bamboo เลยพักไว้ก่อนค่ะ  มาลองวาดในแท็บเลตธรรมดาๆนี่ก่อนเพราะได้มาโดยไม่ต้องซื้อ ...ไว้ถนัดกว่านี้ก็คงหากราฟฟิคแท็บเลต (ที่ต้องเสียเงินซื้อเอง)มาใช้ทีหลัง

งานวาดมือนั้นสนุกอยู่แล้ว  และการได้ทำงานโดยใช้ร่างกายเราสัมผัสจริงกับชิ้นงานมันสร้างความสุขและส่งต่อพลังงานจากสิ่งที่ทำย้อนกลับมาที่มือหรือร่างกายเราด้วยค่ะ  ส่วนการวาดผ่านสไตลัสกดลงผิวจอแท็บเลตก็ให้งานอีกแบบ  สนุกเหมือนกัน และอาจสดใสฉับไวกว่าและให้ภาพเหมาะสมกับสื่อบางอย่างมากกว่าด้วย  แต่ให้พูดตรงๆ  เอมคิดว่าแม่เราจะทำงานแบบดิจิตอลเป็นหลักก็ควรแบ่งเวลามาสร้างสรรค์สิ่งต่างๆด้วยมือหรือร่างกายเราโดยตรงบ้าง   ในความคิดเรา  มันเหมือนการที่เราเดินเท้าเปล่าบนสนามหญ้า บนหาดทรายหรือบนผืนดินค่ะ  เรากับสิ่งที่สัมผัสได้ส่งต่อพลังบางอย่างถึงกันจริงๆ

เล่าเรื่อยเปื่อยมาหลายบรรทัดแล้ว   ในเมื่อวันนี้พูดถึงงานมือและงานดิจิตอลจึงขอเอารูปนี้มาแปะ  รูปที่วาดมือแล้วนำไปลงสีผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์

หวังว่ามันจะสร้างความรู้สึกบางอย่างต่อคนดูค่ะ :)

12 กันยายน 2556

เมื่อฉันวาดภาพประกอบหนังสือ "ทารกจกเปรตกับบทละครทั้ง 6"




ช่วงต้นปี  นิกร แซ่ตั้ง  ผู้กำกับละครเวที ผู้เป็นรุ่นพี่คณะที่ฉันนับถือมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยและยังได้ร่วมงานกันในสมัยฉันยังทำงานละครเวทีเล่าถึงโปรเจคท์พิมพ์หนังสือรวมบทละครของเขา  เริ่มแรก พี่นิกรตั้งใจเป็นคนออกทุนและจัดพิมพ์หนังสือเองจึงคุยกับฉันซึ่งกำลังอยู่ในช่วงฝึกหัดวาดภาพด้วยตนเองมาสักพักว่า เอม  เธอมาวาดรูปประกอบบทละครให้พี่หนึ่งเรื่องสิ


เรื่องที่พี่นิกรมอบหมายให้ฉันวาด คือ เรื่องวันดับฝัน...ระหว่างที่คุยกัน  พี่นิกรมีงานละครที่อเมริกา  เราคุยกันผ่านเฟซบุ๊คและฉันก็ส่งภาพวาดเพื่อให้พี่นิกรดูแนวทางของภาพเป็นระยะ   ผ่านมากลางปี  โปรเจคท์นี้จำเป็นต้องพักไว้ก่อน แต่ก็เหมือนโชคเข้าข้างฉัน  ในที่สุด โปรเจคท์รวมบทละครก็เริ่มต้นอีกครั้ง โดยมีผู้จัดทำและจัดจำหน่ายคือ Sea Studio


พี่นิกรแนะนำฉันกับทีมงาน Sea Studio    ทั้งฉันและทีมงานต่าง"ใหม่" กับงานหนังสือทั้งคู่ (ทีมงานเป็นผู้ผลิตละครโทรทัศน์เป็นหลักและเป็น"ผู้รักละครเวที" มาเนิ่นนาน) เราจึงคุยกันเรื่องงานนี้โดยไม่ใช่ลักษณะธุรกิจจ๋าแต่เป็นการร่วมงานกันเพื่อละครเวทีที่รักมากกว่า  และเนื่องจากทีมงานต้องการให้ภาพในหนังสือเป็นไปในทางเดียวกัน  ฉันจึงได้รับโอกาสวาดภาพประกอบบทละครทั้งเจ็ดเรื่องของ นิกร แซ่ตั้ง ในเล่มนี้


ฉันเริ่มต้นงานวาดภาพประกอบหนังสือโดยมีความเป็นมาเป็นไปแบบนี้ล่ะ  ถึงมันจะไม่ใช่งานที่เผยแพร่ในวงกว้างนักแต่ระหว่างทำงานและเมื่อเห็นหนังสือพิมพ์ออกมาโดยมีชื่อตนเองพิมพ์ระบุไว้ว่าเป็นผู้วาดภาพประกอบ  ฉันก็รู้สึกเต็มตื้นด้วยความรู้สึกขอบคุณต่อผู้มอบโอกาสอันได้แก่พี่นิกรและทีมงาน Sea Studio   ขอบคุณครอบครัวที่สนับสนุนต่อการเลือกทำงานของฉันไม่ว่าจะฉันตัดสินใจอย่างไร จะมีความฝันเบ่งบานกี่ครั้ง  ขอบคุณคนรักและครอบครัวของเขา  ขอบคุณเพื่อนหลายคนที่ให้กำลังใจและสนับสนุนฉันเมื่อเห็นฉันหัดวาดรูป  


ขอขอบคุณต่อผู้คนและเรื่องราวในชีวิตซึ่งเกิดกับฉัน  ตัวฉันประกอบมาด้วยเรื่องราวเหล่านั้น  ภาพและการตีความของฉันเองก็เช่นกัน เติบโตมาจากทุกข์และสุขซึ่งผ่านมาในชีวิตเช่นเราทุกคนบนโลกใบนี้

28 สิงหาคม 2556

ส่งต่อ



ตั้งแต่ปีที่แล้วจนมาถึงเดือนสิงหาคมของปีนี้...ฉันได้รับของขวัญ,ของฝากเป็นสมุดวาดรูป สีกวอชและดินสอจากพี่ๆน้องๆและเพื่อนอีกหลายคน


ได้รับมากกว่าที่ให้เยอะเลย จนรู้สึกว่า เฮ้ย ไม่ได้การ  เราต้องสร้างอะไรต่อยอดต่อผลจากสิ่งที่เพื่อนๆให้มา (แน่นอนล่ะว่ามันก็ต้องเป็นไปตามกำลังของตน)

ปีที่แล้วยังเย็บผ้าอยู่ก็พอจะได้แบ่งเงินค่าของที่ขายไปทำประโยชน์ได้บ้าง  แล้วปลายปีที่แล้ว ฉันก็เย็บกระเป๋าไปให้ทางมูลนิธิปันกันจำหน่ายหาเงินเป็นทุนการศึกษาให้เด็ก  แต่ปีนี้สิ  ฉันยังไม่ได้ลงมือทำอะไรให้ใครเลย (ไม่รวมเย็บของให้เพื่อนนิดหน่อยกับใช้เงิน"ให้" แบบสะดวก)

แผนแรกที่คิดไว้ คือ ต้องค่อยๆคิดว่าจะทำอะไรเป็นการปันส่งต่อสิ่งดีๆที่ได้รับ     แผนสองก็คือ  ถ้าคิดไม่ออกก็เย็บกระเป๋าไปขายหาตังค์ให้เด็กแบบเดิม คิดมากเกินเดี๋ยวไม่ได้ทำอะไรกันพอดี :P


อืม...ดูเป็นบล็อกนางง๊าม นางงามรักโลก รักเด็กเนอะ...ทั้งที่จริงๆแล้วมันก็แค่ว่าเราจะทำอะไรได้บ้างโดยไม่เบียดเบียนตัวเองและได้ตอบแทนน้ำใจที่เราได้มาในรูปแบบส่งต่อก็เท่านั้นเอง

16 สิงหาคม 2556

คือฉัน (อีกหลายคน)



เคยมีเพื่อนที่รู้จักผ่านโลกออนไลน์คุยมาทางข้อความของเฟซบุ๊ค  ใจความรวมๆคือเพื่อนเห็นเราลงมือวาดรูปจึงได้แรง(คงไม่ถึงแรงบันดาลใจ) ที่จะลุกขึ้นมาวาดรูปอีกครั้งและแนะนำให้ฉันมุ่งมั่นไปกับแนวทางวาดรูปของตัวเองที่ชัดเจนไปทางเดียวเลย

นึกขอบคุณเพื่อนคนนั้น (และก็ได้ขอบคุณออกไปแล้ว) ในน้ำใจที่แนะนำมาด้วยความหวังดี  ตอนนั้นดีใจมากเลยที่อย่างน้อยการที่ตัวฉันเองลงมือวาดรูปทุกๆวันจะทำให้คนตัดสินใจลงมือทำสิ่งที่เขาเคยนึกอยากทำเมื่อนานมาแล้วและขอบคุณมากที่เพื่อนคนนี้บอกเราอย่างตรงไปตรงมาในสิ่งที่เธอคิด  (เพื่อนคนนี้มีสายตาของศิลปินและสายตาของการขายงาน  การแนะนำของเธอไม่ได้มาจากการพูดเรื้อยเจื้อย)

ขณะเดียวกัน ฉันเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าการสร้างสไตล์ที่ชัดเจนแน่วแน่นั้นเป็นเรื่องดีและคงจะทำให้พอร์ตฯงานออกมาจับตาคนได้มากกว่าการวาดรูปในสไตล์นั้นที สไตล์นี้ที...แต่ก็นั่นล่ะ  บางเรื่องเรารู้ว่ามีประโยชน์ในเชิงการตลาดแต่เราก็อาจเลือกไม่ทำ


ฉันเชื่อและคิดมาตลอดว่าในตัวฉันเองนั้นมี "ฉัน"คนอื่นอยู่อีก  ไม่ใช่ฉันในภาคมาร ภาคนักบุญ...แต่เป็นฉันอีกอย่างน้อยสามคน  และทั้งสามคนนี้ก็ยังมีภาคมารภาคนักบุญของตัวเองอีก

ดูเหมือนคนเป็นโรคจิตเภทหน่อยๆมั้ย :P

การวาดรูปเป็นเหมือนช่องทางแสดงออกและยืนยันในตัวตนที่มีอยู่ของพวกเขา  ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องโชว์งานสไตล์เดียวเพื่อขาย  ไว้ถึงเวลานั้นฉันค่อยมาคัดแยกงานให้เป็นหมวดหมู่อีกทีก็ได้   ถึงฉันจะเดินบนเส้นทางนักวาดรูปอย่างที่ตั้งใจได้ช้าไปหน่อย  แต่มันก็ช่วยไม่ได้ในเมื่อฉันจับมือเดินไปพร้อมกับกัน"ฉัน"คนอื่นๆนี่นา  คงจะวิ่งลำบาก :)

เอาแต่พร่ำเพ้อไปก็ไม่มีประโยชน์  เอารูปมาอวดดีกว่า   สัปดาห์นี้ ฉันวาดภาพผู้หญิงติดๆกันมาสามรูป  ถึงจะลงสีกวอชเหมือนกัน แต่สามรูปก็ดูจะคนละสไตล์เลยจนได้ทั้งที่ก็ตั้งใจจะให้ออกมาแนวเดียวกันมากที่สุด

แต่ไม่ต้องห่วงนะ  รูปนี้วาดจากฉันคนเดียวนี่ล่ะ  ไม่ใช่สามคนที่ว่า :P






7 สิงหาคม 2556

Life


“Life is an opportunity, benefit from it.
Life is beauty, admire it.
Life is a dream, realize it.
Life is a challenge, meet it.
Life is a duty, complete it.
Life is a game, play it.
Life is a promise, fulfill it.
Life is sorrow, overcome it.
Life is a song, sing it.
Life is a struggle, accept it.
Life is a tragedy, confront it.
Life is an adventure, dare it.
Life is luck, make it.
Life is too precious, do not destroy it.
Life is life, fight for it.”

― Mother Teresa

20 กรกฎาคม 2556

คุยกันเรื่องศิลปินในดวงใจ : Oskar Kokoschka


ฉันรู้จัก Oskar Kokoschka ศิลปินภาพแนว Expressionism ครั้งแรกผ่านภาพวาดของเขาซึ่งถูก pin ไว้ใน Pinterest ...โลกอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมต่อโยงใยโลกกว้างก็มีข้อดีหลายข้อ หนึ่งในนั้นคือ ฉันได้รู้จักศิลปินหรือนักวาดภาพอีกหลายคนหลายเชื้อชาติที่ไม่ค่อยหรือไม่เคยเห็นผลงานพวกเขาในบ้านเราผ่านช่องทางนี้

ที่จริงแล้ว Oskar Kokoschka นั้นเทียบเคียงสูสีกันมากับEgon Schiele ศิลปินที่เล่าให้ฟังเมื่อคราวก่อน ในเรื่องการแสดงออกทั้งเรื่องเพศ ความลุ่มหลงในสรีระร่างกายและความปราถนาที่ร้อนเร่าผ่านฝีแปรง...ไอ้ความเชื่อมโยงตรงนี้ล่ะมั้งทำให้ฉันนึกชอบภาพของทั้งคู่ก่อนอ่านประวัติของ Oskar Kokoschka   ฉันแอบคิดนิดๆว่าแรงปราถนาทที่ถั่งท้นออกมาอาจเป็นสาเหตุของอายุที่แสนสั้นของคนเรา แต่มันไม่ใช่หรอกเพราะขณะที่ Egon Schiele นั้นอายุสั้นเหลืเกิน (เขาเสียชีวิตจากโรคหวัดระบาดครั้งร้ายแรง) Oskar Kokoschka กลับอายุยืนยาวถึง 93 ปี

Kokoschka ศึกษามาทางศิลปะในเชิงช่าง ไม่ได้เรียนจิตรกรรมโดยตรง นั่นทำให้เขามีอิสระในวิธีการใช้สีโดยไม่ยึดติดว่าวิธีใดคือวิธีที่ “ถูกต้อง”ตามขนบที่ทำตามกันมา ...ฉันชอบการปาดป้ายที่คมชัดของเขามาก...ส่วนหนึ่งในใจฉันก็คงอยากจะมาโลดแล่นเต้นเร่าบนผืนกระดาษหรือผืนผ้าใบแบบที่ภาพของ Kokoschka วาดล่ะมัง

อ๊ะ ออกไปนอกเรื่องอีกแล้ว ..กลับมาพูดถึงศิลปินตามที่เล่ามาตอนต้นดีกว่าว่า อีตา Egon Schiele กับ Oskar Kokoschka นั้นแสดงออกมามากเหมือนกันคือเรื่องอารมณ์ปราถนา,หลงใหลคลั่งไคล้   คราวก่อนฉันเล่าไปเรื่องความแสบทรวงในเรื่องผู้หญิงของ Schiele ไปแล้ว ครั้งนี้ฉันจึงขอเม้าท์ (แต่ไม่ตัดสิน) เรื่องของ Kokoschka บ้าง 

Kokoschka เคยตกหลุมรักหญิงม่ายคนหนึ่ง (ค้นชื่อจากประวัติของเขาได้) เมื่อรักและลุ่มหลงมากก็แสดงออกมาก สาวเจ้าก็ทนไม่ไหวจึงขอแยกทางไป Kokoschka ทำใจไม่ได้จึงสั่งทำตุ๊กตาขนาดเท่าตัวเธอขึ้นมาไว้แทนกายคนรักที่จากไป ฉันว่าฉันเข้าใจเขานะ...ถึงมันจะดูแปลกประหลาด (และคงดูโรคจิต) ในสายตาบางคนแต่การทำแบบนี้ก็ไม่ได้ไปทำร้ายใคร..แต่มันคง ทำร้ายจิตใจเจ้าตัวต้นแบบอยู่ล่ะเพราะ Kokoschka ก็มักตอบอย่างเปิดเผย (ถ้ามีใครถาม) ว่าเขาทำอะไรกับตุ๊กตาบ้าง 

อย่างไรก็ตาม...ในที่สุด เขาก็ทำลายตุ๊กตานั้นเพราะเราก็รู้แก่ใจกันอยู่ว่าต่อให้เป็นร่างโคลน แต่เมื่อไม่ใช่”เธอ” มันก็ไม่ใช่เธออยู่ดี (เท่าที่ฉันเห็นรูปถ่าย ตุ๊กตาที่สั่งทำมาก็คงไม่ได้จะไปเหมือนอะไรกับต้นแบบนักด้วยสิ)  หลังจากเรื่องอิ้อฉาวนี้ผ่านไป Kokoschka ต้องลี้ภัยในช่วงสงครามโลก และย้ายที่พักไปยังประเทศต่างๆในยุโรป อเมริกาและอาศัยอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นแห่งสุดท้ายจนสิ้นอายุขัยเมื่อ ปี ค.ศ. 1980 ในช่วงชีวิตนั้น เขายังคงพัฒนาตนเองในฐานะศิลปินวาดภาพต่อไป ในหลายสไตล์การวาด ฉันค้นเจอภาพถ่ายรูปเขาในวัยหนุ่มและวัยชรา เขาดูเป็นหนุ่มช่างคิดนะแต่ไม่น่ากลัว...ถ้าฉํนได้รู้จักตัวจริงของชายหนุ่มผู้อ่อนไหวคนนี้ ฉันอาจจะเผลอหลงรักเขา ... ไม่แน่นะ ฉันเองอาจจะเป็นฝ่ายเย็บตุ๊กตาขนาดเท่าตัวเขามากกกอดไว้แทนตัวจริงในวันที่เลิกรากันก็ได้ 

(เคยเล่าไว้ ที่นี่ )


1 กรกฎาคม 2556

คุยกันเรื่องศิลปิน (ในดวงใจ) : Egon Schiele



ชอบ Egon Schiele  ยิ่งมีโอกาสเห็นภาพของเขามากขึ้นก็ยิ่งชอบ

เล่าเรื่องศิลปินคนนี้ในแบบของคนที่ไม่ได้เล่าเรียนมาทางนี้และไม่มีความรู้ทางเทคนิคจิตรกรรมใดๆ ไว้ในเพจ  aimmo  ที่นี่ ตอน Egon Schiele  ค่ะ




16 มิถุนายน 2556

ฝึกหัดเล่าเรื่องไปพร้อมกับภาพ : ญี่ปุ่น ตอนที่ 1




เริ่มประเดิมฝึกหัดเล่าเรื่องพร้อมภาพไปกับร้านอิซากายะที่เตะจมูกเราด้วยกลิ่น  แต่ไม่ได้เตะปากเราเพราะเราไม่ได้กิน!

สาเหตุที่เริ่มเล่าด้วยภาพนี้คงเป็นเพราะความแค้น   ...จะแค้นอะไร...ก็แค้นใจที่ไม่ได้กินน่ะสิคะ (ยิ่งนึกก็ยิ่งช้ำใจน้อยๆว่าไม่น่าพลาด)

วันแรกที่เหยียบแผ่นดินญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้ว  มันเริ่มด้วยการผจญฝูงชนชาวคณะทัวร์ที่มาแลกตั๋วเจอาร์พาสกันแน่นเคาน์เตอร์ที่สนามบินนาริตะ  บอกตรงๆว่ากำลังกายเริ่มถดถอยเพราะนอนไม่เต็มอิ่มมาสองคืนแล้วตั้งแต่ก่อนเดินทาง  ขึ้นเครื่องมาก็หลับๆตื่นๆเพราะกลัวเผลอกรนดัง...เกรงใจชาวโลกที่ร่วมทางในเครื่องบินลำเดียวกัน

แถวแลก JR Pass Exchange Order และแถวจองตั๋วรถไฟ (ซึ่งจะเริ่มใช้วันพรุ่งนี้ไปนิกโก) นั้นยาวเกินคาดไปเยอะบวกความเหนื่อยอ่อนของสังขารทำเอาความลั๊นลากล้าท่องโลก(ญี่ปุ่น) ในใจฉันหดลงเหลือแปดสิบเปอร์เซนต์    พอนั่งรถไฟสายเคเซเข้าเมืองเพื่อไปลงสถานีอุเอโนะ... ลงจากรถไฟก็เจอฝนอีก...ฮึ่ม! เกิดใต้ฟ้าอย่ากลัวฝนตราบใดที่ฟ้าไม่ผ่าหรือหล่นใส่หัว  เราก็ต้องไปต่อ (โดยมีร่มที่พกมาจากเมืองไทยเป็นตัวช่วย)

เราเลือกจองโรงแรมแถวอุเอโนะในวันแรกเพราะเป็นย่านที่รถไฟสายเคเซจอด   วันต่อไปที่เริ่มใช้เจอาร์พาสไปเที่ยวนิกโกก็ต่อรถไม่ยุ่งยากแถมโรงแรมที่เลือกไว้ก็มีคนทำรีวิวเส้นทางไปโรงแรมแบบครบขั้นตอนตั้งแต่ก้าวเท้าลงจากสถานี Keisei Ueno ยันก้าวเท้าเข้าโรงแรมกันเลยทีเดียว


เอาสัมภาระและตัวกลมๆสองร่างเช็คอินเข้าพักโรงแรมเสร็จ  (คิดดู  กว่าจะเข้าเมืองได้  มันถึงเวลาที่เราสามารถเช็คอินได้แล้วนั่นคือสี่โมงเย็น  หมดเวลาเที่ยวไปหนึ่งวัน)  เราก็ตัดสินใจว่านี่มันก็เย็นแล้ว  ไปเดินเพลินๆที่ตลาดอะเมโยโกะซึ่งอยู่ในย่านอุเอโนะ  หาข้าวกินแล้วนอนเร็วหน่อยดีกว่าเพราะพรุ่งนี้ต้องไปนิกโกแต่เช้ามืด


ตลาดอะเมโยโกะนี่มันเดินมันจริงๆนะ  ถ้าคุณไม่รังเกียจความคึกคักแบบที่เราเห็นตามตลาดสวนหลวงหรือตลาดน้ำ  และเราจะมันมากกว่านี้ถ้ามีพ็อคเก็ตมันนี่สำหรับช็อปปิ้งเยอะๆ (ทั้งสตรอเบอร์รี่ลูกโตจิ้มนมข้น ผลไม้มากมายเต็มตลาด รองเท้าผ้าใบแจ่มๆที่วางโชว์มันช่างเย้ายวน)   ส่วนทีมเรา (อิฉันและคู่หูคู่ฮา) ไม่มีงบประมาณช็อปปิ้งเลยได้แต่เดินดูข้าวของเพลินๆ และหัดบำเพ็ญตบะด้วยการดูของที่อยากได้เยอะๆ สร้างกิเสสแล้วดับกิเลสด้วยการไม่ซื้อ (ถ้ายังอยากมีเงินเที่ยวต่อในวันอื่นๆที่เหลือ)


ฉันเคยเห็นรูปจากกระทู้ในพันทิปและหนังสือท่องเที่ยวว่าในตลาดอะเมโยโกะมีร้าน"จิราชิ ซูชิ" ข้าวโปะหน้าปลาดิบพูนๆในราคาย่อมเยา  ฉันมุ่งมั่นจะไปกินจิราชิซูชิก็จริง  แต่จมูกฉันมันก็ดันโดนเตะไปแล้วด้วยกลิ่นจากร้านในรูป (อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก-เขียนไม่เป็น  ฉันเลยตัดเอาป้ายชื่อร้านมาแปะไว้ในรูปที่ฉันวาดนี้)


คนเรา เมื่อถึงทางแยกก็ต้องเลือกว่าจะไปทางไหน  จิราชิ ซูชิ ที่มีป้ายภาพอาหารพร้อมราคาให้เลือกจิ้มสั่งหรือร้านที่ขายอะไรก็ยังไม่รู้ แต่ส่งกลิ่นยั่วยวนในภาพ...ณ นาทีนั้น เราเลือกความสะดวกอิ่มท้องก่อน ฉันว่าเราเลือกไม่ผิด แต่ก็ไม่รู้ว่าเลือกถูกมั้ยเพราะอาหาร (ซึ่งน่าจะ) อร่อยที่โรยหน้าด้วยความตื่นเต้นตุ๊มๆต่อมๆเป็นออเดิร์ฟที่ร้านอิซากายะมันก็น่าเสียดายชะมัดเลย


ทุกๆทางเลือกเนี่ยมันต้องเสี่ยงทั้งนั้นเนอะ 

11 มิถุนายน 2556

ปลูกผักรับฝน

ช่วงนี้ฝนตกบ่อยๆ  ชวนให้ฮึกเหิมปลูกต้นไม้อีก (จะได้ฝากท่านฟ้าท่านฝนช่วยดูแลด้วย)

คราวก่อนฉันมีบทเรียนจากกระถางที่ลงเมล็ดต้นเรดโอ๊คไว้....หนอย เรารึก็อุตส่าห์ปลูกจนต้นอ่อนขึ้นงามมาได้เป็นสิบต้น แต่พอฝนเทลงมา  เรดโอ๊คและบัตเตอร์เฮด (ที่ขึ้นมาสองต้น) ก็โดนน้ำฝนที่เทไหลเป็นน้ำตกจากขอบกำแพงรั้วปูนกระแทกหน้าดินจนต้นเละกระจุยกระจายไป

ฉันว่าฉันวางแผนวางกระถางรับเฉพาะแดดอ่อนๆตอนเช้าได้ดีแล้วทีเดียว  แต่ก็ดันลืมไปว่าพอเอากระถางมาวางชิดริมรั้วกำแพงปูนเพื่ออาศัยหลบแดด  พอพระพิรุณท่านส่งน้ำแรงๆ ...ไม่ได้ตกเปาะแปะน่าเอ็นดูมาให้...ไอ้ขอบรั้วปูนก็กลายเป็นหน้าผาให้น้ำฝนเทลงมากลายเป็นน้ำตกดีๆนี่เอง

บทเรียนคราวนั้นทำเองฉันแหยงที่จะปลูกผักอื่นไปหลายเดือน...ยังดีที่ผักชีฝรั่งที่อยู่ริมรั้วเหล็กนั้นแสนจะอึด ทนแดดทนฝน ...ไม่เหี่ยวเป็นผักตายนึ่งไปด้วย

วันนี้ ...ได้ฤกษ์ (ฤกษ์ดีของตัวเองก็คือการลงมือทำ --เลิกผัดวันประกันพรุ่ง) ฉันขนกระถางเก่าๆที่มีซากต้นไม้ล้มลุกตายอยู่มาวางกองไว้หลายใบ  รื้อหน้าดินที่มีซากต้นไม้ออกไปทำปุ๋ยให้ต้นแสงจันทร์---ป๋า(ต้นไม้) ใหญ่ประจำบ้าน   ปุ๋ยนี้เป็นค่าตอบแทนเล็กๆน้อยๆให้ต้นแสงจันทร์ที่ฉันขออาศัยร่มใบของป๋ามาบังแดดแรงให้บรรดาเมล็ดต่างๆที่เพิ่งลงดินไป

ลงไปหลายพืชผัก...กลัวจำไม่ได้ว่ากระถางไหนเป็นอะไร  ฉันเลยวาดรูปแผนผังเมล็ดผักที่ลงไว้ช่วยจำ (ติดชื่อผักไว้ที่กระถางแล้วล่ะ  แต่คิดว่าโดนฝนสักสองสามครั้ง ป้ายก็เจ๊ง)    ...ก็ไม่รู้ว่าเจ้าเมล็ดมันจะยอมฟูมฟักต้นให้สักกี่มากน้อยเพราะเมล็ดพันธุ์พวกนี้ก็ใกล้หมดอายุเต็มที



ถ้าใครมาเห็นกระถางของฉันคงนึกขำว่าเอากระป๋องนมเก่าๆพ่นสี (แต่ขึ้นสนิมแล้ว) มาปลูกผักทำไมทั้งๆที่กระถางเก่าสวยๆ เหมาะๆที่เคยลงเรดโอ๊คครั้งก่อนก็น่าจะเอามาใช้ได้...แหม ที่จริงก็ไปยกกระถางขึ้นมากะเอามาใช้แล้วล่ะ  แต่ดันเห็นบรรดาแมลงดินพร้อมไข่ทรงรีสีน้ำตาลอ้วนๆหลายใบอยู่ใต้กระถาง  ท่าทางพวกมันแตกตื่นเลยเชียวว่ามีผู้บุกรุก  วิ่งไปปกป้องไข่เตรียมย้ายกันใหญ่  ฉันเลยใจอ่อน  หน้าฝนแบบนี้...ย้ายไปไหนตอนนี้อาจจะไม่รอด...เอาวะ ทิ้งกระถางไว้ให้ก่อนก็ได้  ไว้หน้าร้อนฉันจะมาทวงคืน   (ไม่รู้ว่าแมลงชื่ออะไรแต่ไม่ใช่ปลวกหรือมด  เคยเห็นพวกมันตามกระถางเก่าๆอยู่บ่อยๆ  คิดว่ามันน่าจะสำคัญกับระบบนิเวศแหงๆ  ตัวดำใหญ่  ไข่สีน้ำตาลโกโก้)

ฉันเอง ปลูกอะไรจากเมล็ดไม่ค่อยรุ่ง (ที่จริงปลูกอะไรก็ไม่ค่อยรุ่ง)   แต่ก็ยังมีความหวังกับเจ้าเมล็ดที่ลงคราวนี้  ไม่รู้ว่าพอหลบแดดแรงและน้ำตกเม็ดฝนได้...พวกมันจะขึ้นมาให้ชื่นใจบ้างไหมหนอ...ลุ้นจริงๆ




7 มิถุนายน 2556

สมุดจิ๋ว



ฉันมีสมุดเล่มเล็กจิ๋วที่ได้เป็นของขวัญปีใหม่จากน้องสาวสามเล่ม (ได้มาเป็นแพ็คเลย)

สมุดเหล่านี้แสนจะเหมาะกับการพกใส่กระเป๋าเพราะขนาดเล็กของมันจะใส่ไว้ในกระเป๋าถือใบย่อมๆก็ได้

ฉันใช้มันจดบันทึกกันลืมบ้าง จดเลขที่บัญชีที่ต้องไปทำธุรกรรมกับธนาคารบ้าง...และใช้วาดรูปฝึกมือระหว่างนั่งรถเมล์ด้วย  ถึงแม้จะพกสมุดวาดรูปเป็นประจำอยู่แล้วแต่สมุดจิ๋วในรูปนี้เป็นเล่มเดียวที่พกติดตัวทุกครั้ง

ตอนนี้ก็กลางปีแล้ว  ฉันใช้มันไปแล้วครึ่งเล่ม...หนึ่งปีก็คงใช้หนี่งเล่ม

ของขวัญจากน้องสาวคราวนี้...ใช้ได้สามปีเชียว...คุ้มค่าน่าดู :)



5 มิถุนายน 2556

กระต่ายน้อยหน้าหงิก


ไม่รู้ทำไมถึงชอบวาดเด็กหน้าหงิกหรือเด็กหน้าเฉยๆมึนๆ....จะเป็นเพราะตัวเองสมัยเด็กๆก็ชอบทำหน้าหงิกเหรอ...อืมม์...ก็ไม่น่าจะใช่

สมัยเด็กๆ เวลาฉันวาดรูปเล่น...จำได้แม่นว่าสิ่งที่วาดยากมากคือหน้าตา"ยิ้มแย้ม"  หน้ายิ้ม ตาก็ควรจะยิ้ม..เส้นที่ปากหรือดวงตาบิดไปจากที่ตั้งใจนิดเดียว  "ยิ้ม"นั้นก็ดูไม่น่าเชื่อถือซะแล้ว

ช่วงที่ฉันทำงานอย่างบ้าคลั่งจนการนอนค้างออฟฟิศในวันทำงานเป็นเรื่องปกติ  ทำงานจนเห็นพระอาทิตย์ขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา  ...ช่วงนั้นเวลาวาดรูปเล่น ฉันกลับชอบวาดรูปตัวการ์ตูนยิ้ม  ยิ้มเรี่ยราดเรื่อยเปื่อย...วาดแล้วก็คลายเครียดดี  ไม่ได้สนใจว่า"ยิ้ม"ในภาพจะดูยิ้มจริงหรือยิ้มหลอก ได้แต่ขีดๆเส้นลงสมุดเป็นบางครั้งไว้บรรเทาอาการหงุดหงิดเรื่องคนเรื่องงานเท่านั้น

กลับมาวาดรูปตอนอายุสามสิบกว่าอีกทีด้วยความรู้สึกแบบตอนเด็ก  ฉันเลือกที่จะวาดรูปที่ตัวเองอยากวาด  ตราบใดที่งานนั้นไม่ได้เป็นงานจ้างให้ทำตามโจทย์   (แน่นอนว่าในการวาดเพื่อความรื่นรมย์ใจ  มันก็มีจุดหมายอื่นด้วย  พอเราโต เราก็อยากให้มีคนชอบผลงานเรา  เห็นค่างานของเรา---อันนั้นมันเป็นจุดหมายรองลงมา  และถึงฉันอยากจะให้มันเป็นจุดหมายหลักเพื่อจะได้เป็นตามนั้นเร็วๆ แต่ฉันก็เชื่อว่าคนแต่ละคนมีรูปแบบชีวิตของตัวเอง  ฉันเป็นพวกชอบใช่้พลังเฉื่อย...ก็ขอเป็นตัวของตัวเองแบบนี้ล่ะ )  

พอวาดตามใจ ...บ่อยครั้งตัวละครในรูปวาดของฉันเลยหน้าหงิก หน้าเฉยๆ หรือแค่อมยิ้ม  (วาดคนหัวเราะนี่วาดยากนะ  ถ้าพลังลั้นลาไม่ถึงนี่ฉันก็ไม่ฝืนวาดเลย)

ที่จริงตั้งใจจะเล่าเรื่องวาดเจ้ากระต่ายหนุ่มตัวน้อยหน้าตางอแงไม่ยอมเข้านอนกับกระต่ายหนุ่มหน้าหงิกนักผจญภัยว่าได้วาดรูปแบบนี้สนุกดี  แต่ไหงกลายเป็นบ่นรำพึงรำพันถึงความหลังไปได้นะ

สงสัยเราจะเริ่มแก่แล้วจริงๆ :P









1 มิถุนายน 2556

ภาพแต่ละภาพนี่มันเป็นตัวของตัวเองแฮะ



วาดไปวาดมาภาพนี้ออกแนวการ์ตูนไปเลย

ฉันวาดรูปนี้แบบเรื่อยๆเพลินๆ   ตอนแรกตั้งใจว่าจะไม่ตัดเส้นด้วยหมึกเพราะอยากให้ภาพดูฟุ้งๆชวนฝัน...แต่พอวาดจนจบแล้วกลับรู้สึกขัดใจกับเส้นดินสอที่ใช้มาก  

ลงหมึกปุ๊บ  ความรู้สึกขัดใจหายไปเป็นปลิดทิ้ง....ภาพบางภาพมันก็ดูเหมือนมีหนทางของมันเนอะ  มันจะต้องเสร็จจบด้วยเส้นหมึกที่ลากเน้นภาพ  มันอาจจะต้องจบแค่ภาพร่างแบบเร็วๆเห็นอารมณ์ขณะวาดผ่านเส้นได้ชัดเจน  มันจะอาจจะต้องค่อยๆแต้มเส้นเล็กๆยิบย่อยลงตามจุดต่างๆในภาพถึงจะสมบูรณ์

ภาพแต่ละภาพนี่มันเป็นตัวของตัวเองจริงๆแฮะ

26 พฤษภาคม 2556

กับข้าว กับแม่


วันอาทิตย์มักเป็นวันที่บ้านฉันทำกับข้าว   ทำสี่ห้าอย่างแล้วก็แพ็คใส่กล่องเข้าช่องแข็งไว้กินระหว่างสัปดาห์

อยากจะทำกินเองทุกๆวันเพื่อจะได้กินแต่ของสดใหม่เหมือนกัน  แต่ความคิดนี้ยังไม่สามารถเอาชนะความขี้เกียจทำอาหารระหว่างสัปดาห์ได้เลย  

พอฉันต้องทำอาหารกินเองและมี"ความขี้เกียจทำกับข้าว" เป็นของตัวเองอย่างนี้แล้ว...นึกถึงแม่ของตัวเองกับแม่แฟนขึ้นมาเลย...แม่ของเราทั้งคู่เป็นผู้หญิงทำงาน ทำงานหนักด้วย...แต่ก็กลับมาทำกับข้าวให้ลูกๆกินเสมอ     ทุกวันนี้ เวลาฉันกลับบ้าน  ฉันก็ยังอยากกินกับข้าวฝีมือแม่  แม่เองก็จะลงมือทำอาหารที่ฉันชอบและคิดเผื่อไปถึงคนรักของลูกที่มากินข้าวด้วยว่าชอบกินอะไร อะไรกินได้ อะไรกินไม่ได้     ในบางครั้งที่เจ้าลูกชาย (น้องชายฉัน) พาเพื่อนมาบ้านหรือจะออกไปเจอเพื่อนคนที่เคยมากินข้าวที่บ้านแล้วปลาบปลื้มซุปหมูตุ๋นเห็ดหอมฝีมืิอแม่   ถ้าแม่รู้ แม่ก็จะต้มซุปหม้อใหญ่ตักใส่ถุงแบ่งไปให้เพื่อนลูกด้วย

ฉันซึ่งมีแต่พลังเฉื่อยอยากรู้จริงว่าคนเป็นแม่นี่ไปเอาพลังที่ไหนมากันนะ  

24 พฤษภาคม 2556

ตุ๊กตาที่ยังไม่เสร็จ

เวลาเด็กเล็กวิ่งเล่นจนล้ม  ถ้าไม่เจ็บตัวนัก เด็กๆจะลุกขึ้นมายิ้มหัวเราะแล้ววิ่งต่อไป

ความผิดพลาดในการเย็บตุ๊กตาของฉันก็เป็นแบบนั้น  พลาดแล้วก็หัวเราะ มอบรอยยิ้มให้โลกแล้ววิ่งต่อ...ฉันคิดแบบนั้นนะ

แต่สำหรับบางคน การลุกขึ้นมาหัวเราะไม่ใช่เรื่องง่ายอาจจะเพราะเขาจริงจังกับมัน  หรือเขากำลังอยู่บนลู่วิ่งแข่ง...ดังนั้น เราขำตัวเองได้ แต่จะขำคนอื่นก็คงต้องดูให้ดีก่อนเนอะว่าเขากำลังวิ่งเล่นหรือวิ่งแข่งอย่างบากบั่นอยู่บนลู่


คุยไว้แบบงงๆ ใน  wordpress-ตุ๊กตาที่ยังไม่เสร็จ ของฉันด้วย

19 พฤษภาคม 2556

กุหลาบ

สมัยเด็กๆ  ฉันไม่ชอบดอกกุหลาบ  ใครๆบอกว่ากุหลาบหอมจัง กุหลาบนี่ล่ะคือเทพีคนสำคัญของมวลดอกไม้ ฉันก็ไม่เชื่อ

สวนของย่าก็มีกุหลาบขึ้นแซมตรงนู้นตรงนี้หลายต้น  ทั้งที่ออกดอกสีชมพู  สีขาว สีแดง สีอมส้มโอลด์โรส  แถมมีดอกให้ฉันแอบไปดมอยู่บ่อยๆ  แต่ตอนนั้นดมเท่าไหร่ ฉันก็ว่ามันไม่เห็นจะหอมเลิศเลออย่างที่หนังสือบรรยายถึงดอกกุหลาบเลย  ดอกเข็มขาวซะอีกที่กลิ่นหอมเด่น  แม้แต่เข็มส้มเข็มแดงที่ตั้งเป็นกออ้วนๆอยู่รอบสวน-ไม่หอมแต่น้ำในเกสรดอกก็หวานอร่อยชะมัด

ถ้าไม่นับดอกกุหลาบสีม่วงในการ์ตูนเรื่องนักรักโลกมายา (หน้ากากแก้ว) และยัยกุหลาบปากแข็งในเจ้าชายน้อยแล้ว....ดอกกุหลาบไม่เห็นได้เรื่องเลย... ฉันคิด

น่าแปลกที่พอโตขึ้นเข้าสู่วัยสาว(ใหญ่)   ฉันกลับเลือกน้ำหอมที่มีกลิ่นกุหลาบแต้มผิว  เริ่มสังเกตกลีบดอกที่ซับซ้อนและบอบช้ำง่ายของมัน  เริ่มชอบแบบไม่ค่อยรู้ตัว  จนกระทั่งฉันหัดวาดรูป...ฉันพบว่าดอกไม้ที่วาดเติมลงไปในภาพบ่อยครั้งที่สุดคือดอกกุหลาบ

กุหลาบแรกแย้ม  กุหลาบกลีบช้ำ กุหลาบที่แขวนตากไว้จนแห้ง  กุหลาบที่กลีบซับซ้อนเต่งตึง กุหลาบที่โรยราแห้งกรอบ...กุหลาบทุกช่วงวัยกลับสวยทั้งนั้นในสายตาฉันวันนี้



18 พฤษภาคม 2556

เช้าวันนี้ฝนตก

เวลาสายของวันหยุดที่ฝนตกพรำๆช่างเหมาะกับการดื่มกาแฟจริงๆน้าาา  ^_^


17 พฤษภาคม 2556

คนธรรพ์รำพัน

เริ่มวาดรูปนี้เมื่อสามสี่วันก่อนโดยวาดดินสอลงไปเฉพาะโครงหน้า ตา จมูก ปาก

ดูภาพตอนนั้นแล้วนึกไปถึงหน้ากินร กินรีในวัดและก็ละม้ายกันโครงหน้าของพระพุทธรูปด้วย

ฉันไม่ได้ตั้งใจวาดเป็นหน้าพระพุทธรูปแล้วมีนัยยะอะไรซ่อนอยู่ก็ยิ่งไม่อยากให้ใครมองไปแบบนั้น  (ไม่กลัวบาป แต่กลัวคนเข้าใจผิด...ถ้าเรามีประเด็นจะสะท้อนสังคมในเรื่องการนับถือ "ภาพ" หรือ "ร่าง" แทนตัวบทศาสนาก็ว่าไปอย่าง  แต่นี่ไม่มีก็ไม่อยากให้คิดไปไกล)

รายละเอียดที่เติมมาทีหลังเป็นรายละเอียดเล่นสนุกของฉันที่อยากลองวาดดูว่าคนธรรพ์ ชาวสวรรค์บางพวกน่าจะมีหน้าตาแบบไหน  จะมีรอยสัก รอยเจาะประดับตุ้มหู ตุ้มจมูกไหมหนอ

ระหว่างคิดไปก็ลงรายละเอียดไปเรื่อยๆ....สนุกเช่นเคย (คงเพราะเติมรายละเอียดไประหว่างดูน้องชายปล้ำผสมแป้งที่จะใช้ทำแผ่นนานไว้กินกับแกงกะหรี่ด้วยละมัง) ^ ^



เอาเพลงคนธรรพ์รำพันของแจ้มาลงด้วยไปด้วยดีกว่า  ดนตรีไม่เหมาะกับรูปนี้หรอกแต่เนื้อเพลงนี่อาจจะใช่นะ   อิอิ

4 พฤษภาคม 2556

สีไม้ colleen มันเข้มข้นสดดีจังเนอะ

กลับมาใช้สีไม้ระบายบ้าง


สีไม้ยี่ห้อ Colleen ดูจะเป็นสีไม้ในดวงใจของเด็กๆด้วยเนื้อสีที่เข้ม ราคาไม่แพง   ฉันเองมีสีไม้ (ระบายน้ำ) ยี่ห้อ Caran d'Ache รุ่น Swiss Color ซึ่งราคาแพงพอสมควร (รุ่นดีมากๆของสียี่ห้อนี้ราคาหลายพันบาทเชียว) ที่ซื้อไว้นานหลายปี  แต่ก็ยังชอบสีไม้ Colleen มากๆ เลยคงเพราะสีไม้เดิมที่มีเหมาะกับการระบายไล่ล้อเฉดสวยๆดูเบาและอ่อนหวาน  แต่ฉันซึ่งไม่มีทักษะอย่างนั้นและมักชอบระบายสีแบบเข้มข้นเลยได้ประโยชน์จากสีเดิมไม่ได้เต็มที่

เด็กๆที่ชอบสีสดและฉันที่มือหนัก พอใช้ colleen ก็มันส์เลย  บดสีกับกระดาษได้แบบไม่ต้องกลัวเปลือง :P

ถึงฉันจะระบายสีไม้แบบเบาๆฟุ้งๆไม่เป็นแต่ก็คิดจะหัดในสักวันนะ  รูปที่ใช้สีละมุนละไมมันน่ามอง  มองแล้วก็สบายใจดี

สำหรับฉัน คนที่วาดภาพแล้วน่ามองเพลินตากับคนที่วาดรูปสะท้อนอารมณ์ชวนให้คนดูรู้สึกตามก็เก่งเหมือนๆกัน    ยิ่งรูปที่นอกจากน่ามองแล้วยังสะท้อนอารมณ์ยิ่งเก่งเข้าไปใหญ่เลย ^ ^



2 พฤษภาคม 2556

สี Oil Pastel กับฉันในวัยเด็ก

ตลกตัวเองหน่อยๆเวลาย้อนคิดว่าสมัยก่อนไม่ชอบระบายสีด้วยสี Oil Pastel มากขนาดไหน  ทั้งที่ตัวเองสมัยเรียนอนุบาลเคยส่งภาพวาดประกวด (งานเล็กๆในโรงเรียนนั่นล่ะมัง  ตอนนั้นยังเด็กมากเลยจำรายละเอียดเรื่องนี้ไม่ได้ )

ภาพที่วาดส่งไปเป็นรูปเด็กกับใบไม้ร่วงตามพื้น  ในภาพปล่อยกระดาษพื้นหลังโล่งขาวเกินครึ่งหน้ากระดาษแต่ก็ได้รางวัลมาซึ่งไม่แน่ใจว่าเขาให้เพราะถูกใจภาพเราหรือให้เพราะฉันเป็นลูกอาจารย์ที่สอนในวิทยาลัยครูที่โรงเรียนอนุบาลตั้งอยู่ในนั้น)      ที่จำได้แม่นยำคือรางวัลที่ได้เป็นสีกล่องโต  น่าจะเป็นสีชอล์ก (แบบที่เราเรียกสี Oil Pastel ตอนเด็กๆ) ในกล่องบรรจุสีไล่เฉดมากมายชวนใช้  แปลกที่ฉันจำไม่ได้ว่าเอาสีไประบายอะไรบ้าง  แต่จำแม่นว่าถูกใจกล่องแต่ไม่ได้ชอบใช้สีนีี้เลยจนกระทั่งเรียนวิชาศิลปะครั้งสุดท้ายสมัยมัธยมต้น

ผ่านจากวันนั้นมานานหลายสิบปี  ภายในเวลาแค่เดือนเดียวที่ลองเรียนรู้กับสีไปนี้อีกครั้งในวัยสามสิบปลายๆฉันกลับตกหลุมรักจังเบ้อเร่อกับสี Oil Pastel

ที่สำคัญมากเลยคือสีนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองค่อยๆคลำหาแนวการวาดที่ชอบที่สุดได้ใกล้เข้าไปทุกทีและยิ่งอยากเรียนรู้ต่อไปอีกเรื่อยๆ :)



26 เมษายน 2556

ชวนอ่าน : ความไม่เรียบของความรัก (ZARAZARA)




ฉันแกะห่อช็อกโกแลตยี่ห้อ meiji สีชมพู หยิบมันเข้าปาก... รสหวานหอมของครีมสตรอเบอร์รี่ที่เคลือบหุ้มไว้แผ่กระจายทีละนิดบนลิ้น รสช็อกโกแลตที่ขมและมันน้อยๆแทรกมาผสมผสานกัน

อร่อยจัง รสชาติเหมือนความรักเลย ...ฉันนึกพร้อมกับหลับตา เม็ดฝนโปรยลงมาข้างนอกหน้าต่าง ลมร้อนอ้าวของฤดูร้อนถูกพัดออกไป คิดถึงจัง คิดถึงจัง

.....

ก่อนจะเขียนถึง "ความไม่เรียบของความรัก" ที่ฉันอ่านเมื่อช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ ฉันนึกในใจว่าจะเล่าถึงหนังสือเล่มนี้ยังไงดีนะ นั่งเล่นนั่งคิดไปก็เดินไปเปิดตู้เย็น หยิบเอาช็อกโกแลตมากินแล้วก็คิดว่า...เอาล่ะ ฉันจะเล่าความรู้สึกถึงหนังสือเล่มนี้แบบที่พิมพ์มาข้างบน

"ความไม่เรียบของความรัก" เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นของฮิโรมิ คาวาคามิ ที่สำนักพิมพ์ซันเดย์ อาฟเตอร์นูน นำมาแปลและพิมพ์ออกมา เรื่องสั้นของคุณคาวาคามิจะว่าเหมาะกับหญิงสาวที่เป็นผู้ใหญ่หน่อยก็ใช่ แต่ก็ดูจะเหมาะกับสาวน้อยอารมณ์ละเมียดไม่แพ้กัน เรื่องสั้นทุกเรื่องไม่ได้เล่าถึงความรักแบบฟูมฟายและในความรักของหนุ่มสาวก็มีความรักแบบอื่นแทรกอยู่ด้วย

ฉันว่าถ้าใครที่เคยกินบะหมี่สำเร็จรูปด้วยการซู๊ดเส้นบะหมี่เข้าปากไปก็ร้องไห้โฮๆไปเพราะเสียใจกับความรักน่าจะชอบหนังสือเล่มนี้ ...แน่นอนว่าฉันยกตัวอย่างแบบนี้ ฉันก็ย่อมเป็นคนหนึ่งที่เคยซู๊ดเส้นบะหมี่สำเร็จรูปไป ร้องไห้โฮๆ ทั้งน้ำตา น้ำมูกไหลไปพร้อมๆกันมาแล้ว

ในหนังสือเล่มนี้มีเรื่องสั้นทั้งหมด 23 เรื่อง จากที่อ่านครั้งแรก ฉันชอบเรื่อง"แซนวิชลูกพีช" และ"กระดาษและซองจดหมายสีเขียวใบไม้" มากที่สุด ไม่รู้ว่าเพราะมีวัยที่สอดคล้องกับตัวละครหรือเพราะในความรักนั้นมีเรื่องกินด้วยก็ไม่แน่ใจ แต่พออ่านจบแล้วก็คิดอยากเล่าชวนคนอื่นอ่าน จะอ่านตอนอากาศร้อนอ้าว จะอ่านตอนฝนตกพรำๆก็ได้ เหมาะทั้งนั้น

ความไม่เรียบของความรัก (ZARAZARA)
ฮิโรมิ คาวาคามิ : เขียน
มัทนา จาตุรแสงไพโรจน์ : แปล
foneko : ภาพประกอบ
สำนักพิมพ์ซันเดย์ อาฟเตอร์นูน


(เล่าไว้ใน facebook เมื่อ 19.04.2013)

25 เมษายน 2556

ปากกา Sakura Pigma, นักวาดการ์ตูนตัวปลอมและภาพค่ำคืน

ช่วงแรกที่กลับมาหัดวาดรูป   ฉันชอบปากกา Sakura Pigma มากเลย (ปัจจุบันก็ยังชอบมากอยู่ แต่มีเผลอใจไปให้ปากกาคอแร้งบ้าง (อ่านภาษาจีนไม่ออกว่าที่ชอบใช้คือหัวอะไร  แต่เข้าใจว่าหัวที่ชอบใช้คือซาจิ-เพ็น  เพราะมันใหญ่และอุ้มหมึกได้มากที่สุด)   ส่วน Faber-Castell Ecco Pigment นั้นฉันใช้ไม่ค่อยถนัด พอซื้อมาก็เลยเอาไว้ใช้ขีดเส้นตรงหรือระบายถมดำในภาพมากกว่า

เวลาใช้ปากกา Sakura Pigma ทีไรจะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังวาดมังหงะอยู่ (ส่วนใหญ่นักวาดเขียนเขา/เธอใช้จี-เพ็นกัน แต่ก็มีบางคน อย่างทีม Clamp ที่วาดด้วยปากกา Sakura Pigma )   คงเพราะอิทธิพลจากหนังสือการ์ตูนโชโจที่อ่านตอนเด็กๆ  ตัวเอกจะมีแม่ที่เป็นนักเขียนการ์ตูน  วันๆหมกตัวอยู่ในห้อง...หน้าที่ทำงานบ้านก็เป็นของพระเอก/นางเอกตัวจ้อยแทน

ฉันที่ไม่ได้ชอบทำงานบ้านก็จินตนาการไปสิว่าเราอยากเป็นแม่แบบนี้ล่ะ  ดีจะตาย ไม่ต้องทำงานบ้าน...ได้วาดรูป  ได้เงินจากรูปด้วย :D

เมื่อสัปดาห์ก่อนฉันใช้ Sakura Pigma วาดรูปอีกครั้ง  ระบายสีด้วยสีไม้ระบายน้ำ...นึกว่าตัวเองเป็นนักเขียนการ์ตูน  จินตนาการเรื่องไปด้วยว่านางในรูปคือ "ค่ำคืน" ที่เมื่อเห็นเจ้ากระต่ายบนดวงจันทร์หลับไปแล้วก็เริ่มจะปลดปล่อยดวงอาทิตย์ออกมาจากเสื้อคลุมของนาง   

วาดรูปไปก็ได้ย้อนวัยไปด้วย  คิดฝัน(กลางวัน)ไปด้วย  สนุกดี ^_^



22 เมษายน 2556

ไหนว่าจะไม่รับเย็บม่านไงล่ะ

เมื่อเดือนก่อน  เย็บผ้าม่านที่เพื่อนสั่งทำเสร็จและส่งไปแล้วไปหนึ่งชุด  เดือนนี้กำลังจะเสร็จอีกหนึ่งชุด...ครบโปรเจคท์ ^ ^

ที่จริงแล้ว ผ้าม่านไม่ใช่สิ่งที่เราชอบทำเลยนะ (ไม่ชอบทำงานชิ้นใหญ่ๆ) แต่งานผ้าม่านปีที่แล้วเป็นของเพื่อนรัก  งานคราวนี้ก็เป็นงานของเพื่อนอีกคน (แถมเป็นลูกค้าเก่างานกระเป่าด้วย)  เป็นงานผ้าม่านที่พ่วงการคิดแบบให้ไปด้วย

ถ้าใครอยากมีผ้าม่านแบบที่ไม่เหมือนตามที่ขายในท้องตลาด  ถ้ามันไม่มีขั้นตอนยุ่งยาก  เราสามารถจ้างคุณป้าที่ตั้งจักรรับเย็บผ้าในตลาดได้นะคะ  แต่ไม่ควรเป็นแบบที่ยุ่งยาก และเราต้องอธิบายแบบได้ชัดเจน


ส่วนงานที่เราทำ...ทำไป แก้ไป เล่าไว้ ที่นี่ ค่ะ ^ ^

เจ้านี่เป็นงานม่านที่ส่งไปแล้ว  ในรูปอาจจะไม่ค่อยเห็น มันเป็นม่านสองชั้น มีลูกไม้ซ้อนอยู่อีกผืน

วันนี้ปล้ำกับชุดนี้อีกรอบ  เย็บผ้าตอนอากาศร้อนอ้าวนี่มันร้อน ร้อน ร้อน จริงๆเลย >.<


19 เมษายน 2556

สี Oil Pastel แสนรักและการตระหนักรู้ของฉัน

หลังจากตั้งมั่นอีกครั้งกับสี Oil Pastel    ฉันก็ค้นหาข้อมูลดูจากเว็บไซต์ว่า เอ๊ะ เจ้าสี Oil Pastel นี่ใช้ได้กี่วิธีบ้าง  เปิดดูเว็บนั้นนิด เว็บนี้หน่อยให้เข้าใจพื้นฐานธรรมชาติของสี

แต่การอ่านอย่างเดียวก็ไม่ช่วยให้เราวาดรูปได้ดีขึ้นมา ...ลงมือเลยดีกว่า

สิ่งที่ฉันชอบที่สุดในการทำนู่นทำนี่ คือการที่เรารู้สึก "ตระหนักถึงความสำคัญ" ของบางอย่าง หรือบางขั้นตอนว่า เฮ้ย นี่ละๆ มันต้องมีไอ้นี่หรือมันต้องทำแบบนี้  มันถึงจะได้อย่างนั้น  (งงไหมคะ :P)  ยกตัวอย่างเช่น  ถึงแม้ฉันจะลงมือทำอาหารทำขนมมาหลายครั้ง รวมทั้งรู้อยู่แล้วว่าเกลือเป็นเครื่องปรุงรสที่สำคัญมาก สำคัญจนสมัยก่อนที่เราไม่ได้ผลิตเกลือเป็นอุตสาหกรรมแบบนี้...เกลือมีราคาสูงและเป็นของมีค่าไว้แลกเปลี่ยนสินค้าดีๆได้  

การรู้ไม่เหมือนกับการตระหนักแนบแน่นกับใจเราถึงความสำคัญของมัน  ...ฉันเพิ่งตระหนักว่าเกลือมันช่างแสนชูรสอาหารจริงๆก็เมื่อสัปดาห์ก่อนตอนต้มซุปไก่ (ที่เคยทำมาเป็นสิบครั้ง) นี่ล่ะ

มันเป็นช่วงเวลามหัศจรรย์สำหรับฉัน...เหมือนที่ฉันเพิ่งตระหนักถึงความนุ่มนวลของสี Oil Pastel เมื่อสองวันก่อน

เล่ามาแบบนี้ก็ไม่ได้วาดเก่งอะไรขึ้นมาเหมือนเสกคาถาหรอกค่ะ  แต่พอรู้แล้วก็รู้สึกสนุกแบบคูณสองกับการลงสีนี้  รวมทั้งตกหลุมรักสี Oil Pastel ไปแล้วล่ะสิ :)

รูปนี้เป็นรูปแรกที่ลองเล่นกับสี Oil pastel หลังจากเล่าไปในบล็อกก่อน

อีกวันก็ลองวาดรูปนี้  ชอบก้อนสีที่มันหนืดปาดกันมาก  ให้ความรู้สึกคล้ายสีน้ำมันที่ชอบอยู่แล้ว

วาดรูปนี้เมื่อคืน  สนุกมาก และรู้สึกกับการระบายสีรูปนี้จนน้ำตาจะไหล    มันมีก้อนจุกในอกเลยล่ะ แต่ไม่ได้จุกแล้วจ๋อย  แต่เป็นจุกอกแบบที่วาดเสร็จก็หาย  



พอวาดภาพที่สามเสร็จ...ในตอนแรก ฉันก็รู้สึกว่า เฮ้ย เรามาทางนี้มันใช่ ดีจัง ชอบจัง...แล้วสักพัก  พอใจมันนิ่งขึ้น  ฉันก็วาง "ดีจัง ชอบจัง" ลงได้    

เรายังต้องฝึกอีกเยอะ  ยังเรียนรู้ได้อย่างสนุกสนานไปตลอดชีวิตอย่าเพิ่งไปติดกับดัก "ดีจัง ชอบจัง" กับงานตัวเองนานเลย  โลกนี้มีงานสวยๆ ทั้งของมืออาชีพ ของมือสมัครเล่นอีกมากให้เราได้ชื่นชมชื่นชอบ และเรียนรู้จากพวกเขา

สู้ต่อไป เรียนรู้ต่อไปนะ ยัยเอมโม่ ^___^


11 เมษายน 2556

เรียนรู้...แบบเดินอ้อมๆ

-ฉันเห็นนกบินอยู่บนฟ้าท่ามกลางดวงดาว-




การหัดวาดเขียนด้วยตัวเอง  บางครั้งก็ทำให้เราซึ่งเป็นคนอยากทำอะไรก็ลองทำเลย ไม่ศึกษาให้ถ้วนถี่ก่อน...ขาดทักษะในการวาด การลงสีไปเยอะ  

นิสัยไม่ดีบางอย่างของตัวเอง  ถึงรู้ตัวแต่ก็ไม่ใช่จะเลิก/ดัดนิสัยตนเองง่ายๆ   ดังนั้น มันเป็นธรรมดาที่ต้องเดินอ้อมไปบ้าง  อย่างเช่น คิดจะใช้สี Oil Pastel แต่ไม่ศึกษาก่อน (ซึ่งก็มีความรู้ในเว็บไซต์ต่างๆให้ค้นหา)   เราเลยใช้สีนี้ไปแบบที่ใช้ตอนเด็กๆ คือถูๆๆ เอาความเข้มข้นของสีอย่างที่เราชอบเข้าว่า  ทั้งที่จริงๆ  สี Oil Pastel สร้างสรรค์ได้อีกเยอะ

พอเราเดินอ้อมไปกับรูปนี้แล้วก็ชักจะคิดได้ว่า เฮ้ย ศึกษาแนวทางของสีต่างๆก่อนดีมั้ย...พอลงมือค้นในอินเตอร์เน็ตก็ชักนึกสนุกและตั้งใจว่าฉันจะลงมือเล่นสนุกกับสีนีี้ล่ะนะ

หมายมั่นปั้นมือไว้กับหลายอย่างเลย ทั้งดินสอ ปากกาคอแร้ง ปากกาหัวพู่กัน สีน้ำ สีกวอช สีน้ำมัน...แล้วตามด้วยสี Oil Pastel    ชีวิตนี้เรียนรู้ได้ไม่หมดแน่ๆ  (นี่ยังไม่รวมเรื่องทำขนม ทำอาหาร เย็บผ้า ถ่ายรูปและกิจกรรมอื่นๆอีกนะ!)   

9 เมษายน 2556

เสียงตะโกนที่แสนเงียบ

ข้อดีของการลงมือวาดรูป (หรือขุดดินทำสวน หรือปักผ้า หรือตีเทนนิส แล้วแต่วิธีของแต่ละคน)  คือในเวลาที่ลงมือทำนั้น  เราสามารถตะโกนร้องเสียงดังออกมาอย่างเงียบๆได้







15 มีนาคม 2556

เสียงของหัว (ใจ)

ตั้งแต่เริ่มฝึกหัดวาดภาพมาปีกว่าๆ  เริ่มจะรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับการวาดภาพ (รวมทั้งงานด้านอื่นๆ) ขึ้นมามาก

ครั้งแรก คือเมื่อสามสี่เดือนก่อนที่อยู่ๆขณะที่วาดรูป ในหัวของฉันเหมือนมีเสียงคลิ้กเบาๆ  แบบเดียวกับเสียงของชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ที่วางลงไปได้พอดีดังขึ้น

เป็น "คลิ้ก" ที่ทำให้ตกใจนิดหน่อย  เพราะอยู่ๆก็รู้สึกเหมือนพระเจ้ามอบพรวิเศษให้วาดรูปได้อย่างใจขึ้นแบบกระทันหัน  พรวิเศษนี้ต้องแลกกับอะไรหรือเปล่านะ ...ฉันแอบคิดเงียบๆในใจ   และแล้ว...เมื่อนิ้วมือทั้งสิบของฉันเริ่มเจ็บ  ...คำถามนี้ก็วนเวียนมาอีกรอบ  เอ...นี่เราต้องแลกนิ้วกับพรวิเศษใช่ไหม

เสียง "คลิ้ก" ครั้งที่สองเกิดขึ้นวันนี้ขณะที่วาดรูปเด็กหน้าตาแป้นแล๊นในรูปข้างล่างนี่ 

คนอื่นๆอาจจะรู้สึกว่าทำไมฉันจึงรู้สึกคลิ้กกับรูปที่วาดเร็วๆ ลายเส้นเรียบง่ายเหมือนวาดเล่นแบบนี้

และอีกหลายๆคนที่ฝึกฝนวาดรูป และวาดรูปมานานก็อาจจะเข้าใจและคิดเหมือนที่ฉันคิดว่าเราต้องผ่านการวาด วาดและวาดมามากมายจนสามารถวาดเส้นสบายๆแบบนี้ได้

พอมาคิดดู  เสียง"คลิ้ก" ครั้งแรกนั่น   มันก็ใช่... มันเป็นการที่ฉันต้องแลกนิ้วมือทั้งสิบไปกับการวาดรูปที่ได้ดั่งใจมากขึ้น  มันเป็นนิ้วที่เลือกแล้วว่าจะลงมือทำอะไร...เป็นนิ้วที่ลงมือฝึกฝน ...มันจึงเจ็บ

เสียง "คลิ้ก" ครั้งที่สองมาแบบเฉียบพลัน แต่ไม่สร้างความหวาดกลัวเหมือนครั้งแรก

ฉันรู้สึกว่า "คลิ้ก" ครั้งที่สองเป็นของแถม  เป็นเสียงคลิ้กที่เหมือนจะบอกว่าจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นตามมา  ขอให้มีความสุขกับการวาดภาพและฝึกฝนต่อไป  เพราะคนที่มีความสุขที่สุดและมีความสุขได้แทบทุกวันจากภาพวาดเหล่านี้  เท่าๆที่ฉันรู้...คือตัวฉันเองนี่ล่ะ :)



10 มีนาคม 2556

เพื่อนยามค่ำคืน

ที่บ้าน...บนต้นโมกสูงประมาณสองเมตร กิ่งบางๆของมันมีนกสองตัว (ไม่รู้ว่ากระจิบ กระจอกหรือนกอะไร ดูไม่ออก) มายืนหลับคู่กันอยู่สองคืนแล้ว

ตอนแรก ฉันก็ค่อนขอดมันในใจว่า "โง่จัง มาเกาะกิ่งเตี้ยๆแบบนี้จะปลอดภัยได้ยังไง" แต่นึกไปนึกมา เฮ้ย มันฉลาดนี่หว่า นอนหลับบนกิ่งบางๆที่สัตว์อื่นเกาะไม่ได้ และกิ่งก็สูงเหนือระยะกระโดดของแม
   เหนือระยะที่คนจะเอื้อมมือถึงไปหน่อยๆ พอให้รู้ตัวทันว่ามีอันตรายเข้ามาใกล้แล้วบินหนีไปได้ทัน 

กิจกรรมของบ้านนี้ยามดึกเลยเป็นการลุ้นว่าคืนต่อๆไป  เจ้านกคู่นี้จะยังมานอนหลับที่เดิมอีกมั้ย :)



8 มีนาคม 2556

เจ้าหนอนเขียว




วันมาฆบูชาที่ผ่านมา  ฉันคิดไปเองว่าฟ้าส่งโอกาสมาให้ทำดีเมื่อขึ้นไปนั่งบนรถเมล์แล้วเจอเจ้าหนอนเขียวตัวจ้อยเกาะบนแขน

เจ้าหนอนคงตกลงมาจากต้นไม้ใหญ่ที่ฉันหยุดยืน แหงนหน้ามองอยู่พักใหญ่ระหว่างทางเดินไปป้ายรถเมล์

แว่บแรก ฉันปัดเจ้าหนอนตกลงไปจากแขน  แต่พอนึกว่าหนอนที่คลานบนแผ่นเหล็กร้อนๆข้างขอบหน้าต่างรถเมล์จะรอดมั้ยถ้าค้างติดอยู่บนนี้  ฉันเลยหยิบกระดาษทิชชู่ยับยู่ยี่จากเป้ขึ้นมา  จับเจ้าหนอนใส่ลงไปในห่อกระดาษ  พับกระดาษคลุมหนอนแล้วกำมือไว้หลวมๆพอไม่ให้เจ้าหนอนหลุดออกไปโดยหมายมั่นในใจว่าจะเอาหนอนไปปล่อยไว้ตรงต้นไม้หน้าบ้านใหญ่ที่มีต้นไม้ร่มครึ้มข้างห้างเดอะมอลล์ บางกะปิ

รถเมล์จอดเทียบป้ายที่หน้าห้าง  ฉันพึมพำขอโทษเจ้าหนอนว่าฉันขี้เกียจฝ่าดงแดดเดินย้อนกลับไปที่บ้านนั้นแล้วล่ะ  ขออนุญาตปล่อยเธอไว้ที่พุ่มไม้สวยๆหน้าห้างนะ  อาจไม่ใช่ป่ากลางเมืองแบบบ้านหลังนั้น แต่ก็ดูร่มรื่นปลอดภัย

ฉันคิดไปเองว่าเจ้าหนอนพยักหน้าหงึกหงักยอมรับเพราะพอฉันยื่นมือเข้าไปใต้ต้นไม้แล้วคลี่ห่อกระดาษออก เจ้าหนอนก็ดูสุขสบายดีบนใบเขียวๆของต้นไม้พุ่มกลางๆหน้าห้าง

ผ่านมาหลายวันแล้ว  ป่านนี้คงกลายร่างเป็นผีเสื้อไปแล้วมั้ง

27 กุมภาพันธ์ 2556

สมองกับหัวใจอาจจะคำนวนอะไรออกมาไม่เหมือนกัน

"ฉันอยากพิมพ์ภาพที่มีสีโทนอบอุ่น"  นี่เป็นสิ่งที่ตัวเองคิดเวลาเห็นงานพิมพ์สีนุ่มนวล  บางรูปเหมือนกับคนพิมพ์(และวาด) เทน้ำนมลงไปผสมบนกระดาษ  สีที่ออกมาจึงนวลตาและดูอบอุ่น

ฉันก็อยากทำให้ได้แบบนั้น   ภาพที่ดูบ่อยๆก็เป็นแบบนั้น  แต่ไม่รู้ทำไมเวลาพิมพ์หรือลงสีภาพทีไร  สีสันมันไม่เข้มข้นก็ฉูดฉาดจัดจ้านเหลือเกิน

....

หลังจากพักการลองพิมพ์ด้วยการใช้เจลาตินเพลทมาเป็นเดือน  เมื่อวาน ฉันก็ลองหัดดูเป็นครั้งที่สอง  ตั้งใจไว้ว่าจะคุมโทนให้เป็นสีพาสเทลทั้งหมด  แต่ก็แน่นอนว่า  ณ ขณะที่ลงมือทำ  ถ้ารูปเค้าจะเป็นไปทางไหนก็ปล่อยให้มันเป็นไป  เมื่อยังสองจิตสองใจ ตั้งมั่นแต่ไม่แน่วแน่แบบนี้  ภาพก็ออกมาสีจัดเหมือนเดิม -__-

แต่คราวนี้ต่างไปจากเดิมนิดหน่อยตรงที่ภาพที่ใช่สีอะครีลิคพิมพ์นี้  พอตากกระดาษจนแห้งดีแล้ว  บางส่วนของสีมันช่างคล้ายสีน้ำมันจริงๆ   (ที่หลายคนชอบสีอะครีลิคก็คงเป็นเรื่องนี้สินะ  ความ"เป็ด" ของสีที่จะระบายแบบสีน้ำก็สวย ระบายแบบสีน้ำมันก็สวย---มันค่อนข้างอเนกประสงค์แต่มันก็ไปไม่ได้แบบดีสุดๆได้ง่าย   ชักรู้สึกว่าถ้าเปรียบตัวเองกับสี  เราอาจจะเปรียบได้กับสีอะครีลิคแหงๆ)

ถ้าเรียกแบบเก๋ไก๋ก็ต้องบอกว่ารูปนี้ทำแบบวิธี mixed media แต่ฉันก็รู้อยู่แก่ใจว่าเราน่ะออกแนวมั่วสิ้นดี  และถึงจะพล่ามบ่นตัวเองมาแบบนี้  แต่ก็ชอบรูปนี้มากนะ  อยากจะทำแบบนี้ได้อีกด้วยซ้ำ...ก็ต้องฝึกฝนกันต่อไปล่ะ  บ่นไปอย่างเดียวมันไม่ได้ช่วยให้เราทำอะไรๆได้ดีขึ้นหรอก





18 กุมภาพันธ์ 2556

จุด จุด จุด

วาดรูปด้วยดินสอแล้วก็แต้มสีเป็นจุดจุดจุดลงกระดาษ

ตอนแรกก็ระบายสีไว้เป็นกรอบรอบจุดด้วย     ทำไปทำมาก็ชักอยากให้จุดมันเต็มภาพ  เราเลยไปเล่นในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่อ

สนุกแบบมั่วๆเช่นเคย ^_^


28 มกราคม 2556

ชวนอ่าน : ถอดรหัสข้ามศตวรรษ





มีจดหมายสามฉบับส่งไปถึงคนสามคน  เนื้อความในจดหมายร้องขอให้ผู้รับจดหมายช่วยพิสูจน์การกระทำอันสร้างความมัวหมองให้แก่หนึ่งในจิตรกรเอกของโลก  และห้ามผู้รับจดหมายไม่ให้นำจดหมายนี้ไปให้คนอื่นดูหรือแม้แต่เล่าให้ใครฟัง มิฉะนั้นชีวิตผู้รับจดหมายจะตกอยู่ในอันตราย  ...แน่นอนว่าจดหมายนั้นไม่มีลายเซ็นต่อท้าย  ไม่มีใครรู้ว่าใครกันแน่เป็นคนส่งจดหมายมาและใครคือบุคคลอีกสองคนที่ได้รับจดหมายนี้เหมือนกัน

ในชั้นเรียน ของคาลเดอร์และพีตร้า  มิสฮุสซีย์ ครูประจำชั้นบอกว่า”จดหมายตายไปแล้ว” และมอบการบ้านให้เด็กในชั้นเรียนไปถามคุณพ่อคุณแม่ว่าเคยได้รับจดหมายที่พวกท่านไม่เคยลืม...จดหมายที่เปลี่ยนแปลงชีวิตท่านไปตลอดกาลหรือไม่  และได้รับเมื่ออายุเท่าไหร่....การบ้านชิ้นนี้นำพาคาลเดอร์และพีตร้า เพื่อนร่วมชั้นที่ไม่เคยพูดคุยกันต้องร่วมผจญภัยและช่วยกันถอดรหัสที่ส่งข้ามศตวรรษจากภาพวาดด้วยจินตนาการ ด้วยความเชื่อว่าสิ่งที่สิ่งมหัศจรรย์นั้นเกิดขึ้นได้ และด้วยเพนโทมิโน-อุปกรณ์ทางคณิตศาสตร์คู่ใจของคาลเดอร์      พีตร้าและคาลเดอร์จะถอดรหัสทันหรือไม่---นั่นเป็นเรื่องที่ต้องอ่านต่อเอง

ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยความสนุกอย่างยิ่ง  สนุกไปกับข้อมูลศิลปะของจิตรกรเอกในเรื่องและสนุกไปกับการเอาใจช่วยพีตร้าและคาลเดอร์ให้หาคำตอบให้ทันเวลา  สนุกไปกับรหัสที่นักวาดภาพประกอบแอบใส่ไว้ในภาพ และอยากให้เด็กที่กำลังเติบโตในยุคดิจิตัล ยุคที่เชื่อเฉพาะสิ่งที่หาคำตอบออกมาได้ด้วยวิทยาศาสตร์ได้อ่าน   ฉันไม่รับประกันว่าคนอื่นอ่านแล้วจะชอบด้วย    แต่หนังสือเขาก็รับประกันตัวเองด้วย Agatha Award for the Best Mystery Work 2005 (Young Adult Novel), Edgar Allan Poe Award 2004 (Best Juvenile Fiction)  และรางวัลอีกเป็นตับจากองค์กรหนังสือเด็กและเว็บไซต์ต่างๆ

ถอดรหัสข้ามศตวรรษ (Chasing Vermeer)
เรื่อง : Blue Balliett
ภาพประกอบ: Brett Helquist
แปล: สุวัฒน์ หลีเหม
สำนักพิมพ์ เบลูก้า บุ๊คส์ (ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 ก.ค. 2548)