19 ธันวาคม 2555

เพราะบ้าๆบอๆจึงห่อเธอ

คนเรามันก็จะเพี้ยนกันไปคนละนิดละหน่อยมั้ง  (ขอเหมาว่าคนทั้งโลกจะเพี้ยนกันเหมือนเราหน่อยเถอะนะ)

เราเองก็เพี้ยนบางเรื่อง  เช่น เรื่องการห่อปกหนังสือเล่มนี้


เล่าไว้ ที่นี่ เพราะเหมาว่ามันเป็นเรื่องงานฝีมือด้วย อิอิ



18 ธันวาคม 2555

ปั่นเป๋าส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่...ที่เราคงชิลล์เหมือนเดิม

เปิดเพจ mOmO craft village ในเฟซบุ๊คมาปีกว่าแล้ว---ขยันอยู่ครึ่งปี  หลังจากนั้นเราก็แว่บไปวาดรูป :P

คงเพราะนิสัยขี้เบื่อจับจดของตัวเองที่เดี๋ยวทำนู่น  เดี๋ยวทำนี่  พอเย็บๆสนุกซักพักก็ไปเตลิดทำอย่างอื่น

แต่ถึงจะขี้เบื่อจับจดยังไงก็ไม่ลืมความตั้งใจของตัวเองในการเปิดเพจนะ  ไอ้ความคิดที่อยากจะแบ่งเงินไปทำแบ่งปันต่อยังคงคิดและตั้งใจอยู่  แต่พอไม่ได้เย็บก็แบ่งเป็นเงินไปแทน...ซึ่งเมื่อหันไปมองกองผ้ากองกระดุมกองซิปที่ซื้อมาก็คิดว่านั่นก็เงินนะจ้ะ  รวมยอดเป็นหมื่นด้วยนาเว้ย---แบ่งออกมาแบ่งปันสิ

ทุกครั้งที่แบ่งก็นึกถึงยาย รวมถึงพ่อแม่ที่ยังอยู่ด้วยว่าขอให้เค้าดีใจเถอะว่าไอ้ลูก(หลาน)จอมขี้เกียจแสนชิลล์นี้ก็รู้จักคิดเหมือนกัน   เราเองก็ได้ความสบายใจด้วย

คราวนี้เราขอใช้บริการร้านปันกันตามเคย  แต่เปลี่ยนจากแบ่งปันเงินเป็นส่งของที่เราเย็บไปให้เค้าขายเองหาทุนเล่าเรียนให้เด็กยากไร้   เพราะถึงเราจะไม่เคยเชื่อว่าการศึกษายิ่งสูงจะทำให้คนยิ่งฉลาดหรือยิ่งดี   แต่การศึกษาเบื้องต้นก็สำคัญ---เหมือนไกด์นำทางให้เค้าอ่านออกเขียนได้ง่ายขึ้น  รู้จักว่าจะค้นคว้าขวนขวายหาความรู้จากไหน

ส่งท้ายปีนี้ด้วยกระเป๋า 15 ใบนี้  คิดเองเล่นๆว่าถ้าเขาเอาไปขายใบละ 50 บาท  ขายหมดก็ได้เงิน 750 บาทแล้ว   เท่ากับทุนการศึกษาเดือนครึ่งเลยนะ   มันไม่เยอะหรอกสำหรับคนเมืองอย่างเรา---เข้าร้านอาหารแป๊บเดียวก็หมดแล้ว   แต่มันเยอะสำหรับคนที่ขาดแคลน





28 พฤศจิกายน 2555

พึ่งพา พึ่งพิง ผูกพัน

เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๓
บ้านบางแค





เจ้าเหมียวน้อยที่แสนขี้บ่น(ชะมัด)เดินตามคุณยายต้อยๆ

ความรัก ความผูกพันมันไม่มีเส้นกั้นทั้งเพศ ชาติตระกูล และเผ่าพันธุ์  เราต่างก็พึ่งพากันและช่วยประคับประคองกันได้ทั้งนั้นแม้จะเป็นชีวิตเล็กๆ ที่คอยนั่งผึ่งแดด วันๆเอาแต่นอนอย่างนังเหมียว
(คนที่นิสัยเหมือนนังเหมียวอย่างเรา็ก็หวังว่าจะเป็นที่พึ่งพา คอยประคับประคองให้ใครๆได้บ้างเหมือนกัน)

23 พฤศจิกายน 2555

เรียนรู้และเริ่มต้น

 ระหว่างที่ฝึกหัดวาดเขียน   เราก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าถ้างานวาดของเราจะพอสร้างค่าขนมได้  และถูกใจใครๆได้ในวงกว้างก็น่าลอง

คนที่ทำให้เราคิดเรื่องนี้มีสองคน  เริ่มแรกคือ พี่วี  รุ่นพี่ที่คณะ (และเป็นเพื่อนสนิทสามี) ที่เห็นเราหัดวาดรูปโพสในเฟซบุ๊คบ่อยๆ เคยบอกให้เราลองวาดรูปส่งไปเว็บโฟโต้สต็อคทั้งหลายสิ  เผื่อขายได้    คนที่สองคือสามีเอมโม่เองที่ทุ่มเทถ่ายรูป ทำรูปเพื่อฝากขายไว้ใน Shutterstock Photo 

เราเองเห็นการทุ่มเทตั้งใจ  ท่าทางดีอกดีใจที่มีคนชอบรูปของเขา  รวมทั้งยังสร้างรายได้ด้วยก็ฮึดอยากทำบ้าง


ค่าขนมผสมความชื่นใจที่มีมาจากคนชอบงานของเราและโหลดไปใช้ ไปดูเป็นสาเหตุให้เราคิดจะลองวาดรูปของกินส่งไป    วาดเก็บๆไว้ได้หลายสิบแล้ว...คงได้ฤกษ์ส่งไปลองดูซะทีว่าจะผ่านเกณฑ์เขาไหม   จะมีคนดาวน์โหลดบ้างหรือเปล่า


พอเล่ามาถึงตรงนี้ก็นึกขำตัวเอง...ชีวิตเรามีเรื่องเริ่มต้นเรียนรู้ไปเรื่อยตั้งแต่หาเรื่องเปลี่ยนอาชีพ เปลี่ยนสายงานมาตลอดตามความพอใจและสถานการณ์ชีวิตในแต่ละช่วง   ชีวิตเราอาจเป็นชีวิตที่ไม่ได้คึกคัก โลดโผนนัก...แต่ก็พอมีสีสันอยู่บ้้างเหมือนกันนะเนี่ย :)



ในรูปดูเหมือนมีไม่เกินสิบรูป   แต่ข้างใต้นั้น...รวมๆกันก็หลายสิบรูปอยู่ :)



21 พฤศจิกายน 2555

ทิวทั๊ศน์ ทิวทัศน์

เมื่อสองสามวันก่อน   เอมมาเล่าไว้ในนี้ว่าคิดจะหัดวาดภาพทิวทัศน์


เริ่มหัดแล้วล่ะ...แต่มันไม่ได้ออกมาเป็นทิวทั๊ศน์ ทิวทัศน์น่ะสิ   เป็นแค่ภาพร้านกาแฟริมถนน  มีคนนั่งเหงาอยู่แค่นั้นเอง (แถมหลังคาเบี้ยวอีก) :P



20 พฤศจิกายน 2555

รูโหว่

หัวใจมีรูโหว่เพิ่มอีกครั้ง  รูโหว่นั้นขยายใหญ่ขึ้นตามวันเวลาที่ยังหาถุงทอง...เจ้าแมวตัวดีไม่เจอ


การมีแมวหลายตัวไม่ได้ทำให้เราเสียใจน้อยลงเมื่อมีตัวใดตัวหนึ่งเป็นอะไรไปหรือหายไปอย่างถุงทอง    มันแค่ทำให้เราอาจจะมีรูโหว่...มีหัวใจที่หายไปได้มากขึ้นตามจำนวนความผูกพันที่เรามี


คนที่เลี้ยงและรักหมาแมวหรือสัตว์เลี้ยงอื่นๆก็คงเข้าใจความรู้สึกนี้ดี  ยิ่งเราพูดกันคนละภาษากับเพื่อนเหล่านี้  เรายิ่งใช้ใจสื่อสารกับเค้ามากขึ้น

และรักเค้ามากขึ้นในแต่ละวัน...ก็เท่านั้นเอง


19 พฤศจิกายน 2555

ยังคงไม่แจ่มชัด



หลังจากเดือนที่ผ่านมาเน้นฝึกฝนวาดใบหน้าคนแล้ว    (เล่ามาแบบนี้เหมือนก่อนฝึกมีการวางแผนขั้นตอนฝึกฝนไว้---แต่จริงๆคือคิดอยากจะวาดอะไรก็ตะลุยวาดมากกว่า)

ต่อไป  ฉันอยากวาดรูปทิวทัศน์ให้เก่งขึ้น   อยากเอารูปทิวทัศน์และรูปคนมาผสมผสาน ...หวังว่าตัวเองจะไม่ถอดใจไปซะก่อนวาดได้สมใจ


แล้วทิวทัศน์แบบที่อยากวาดออกมาเป็นแบบไหนกันล่ะหนอ....ภาพในหัวฉันยังไม่แจ่มชัดเท่าไหร่เลย

18 พฤศจิกายน 2555

แรงบันดาลใจจากดิจิตัล

วันนี้ลองเอารูปมาเล่นในคอมพ์ฯอีกที....บางครั้งการใช้โปรแกรมดัดแปลงรูปที่เราวาด   ไม่ได้ทำให้รูปสวยขึ้นเลยนะแต่ทำให้เราได้เปิดจินตนาการให้กว้างไกลขึ้น

...คงคล้ายๆกับเวลาเราดูภาพถ่ายสวยๆที่สิ่งของหรือคนในภาพถ่ายถูกบิดเบือนไปจากความจริงแต่อารมณ์ของภาพกลับเด่นชัดขึ้นละมั้ง


รูปนี้ เอมวาดด้วยดินสอลงบนกระดาษสำหรับสเกตช์ภาพ



สำหรับตัวเอง...รูปนี้อยู่ในระดับที่พอใจ  มันดูแฟชั่นดี  ดูไปซักพักก็ชักคันมืออยากลงสีน้ำเพิ่มแต่ก็ลงสีไม่ได้แล้วเพราะเนื้อกระดาษไม่อำนวย

ในเมื่ออยากลองระบายสีจริงๆก็ลองวาดรูปใหม่ขึ้นมาแนวๆเดิม (แต่สวยน้อยกว่าเดิม -__-')  แล้วลงสีน้ำบางจุด   ป้ายสีอะคริลิคสีทองลงไปตามประสาคนชอบภาพที่วิบวับหน่อยๆ   


ออกมาก็ชอบนะ แต่ก็หาเรื่องเอามาแปลงในโปรแกรม photoscape ต่อจนออกมาแบบนี้ซึ่งเอมว่าไม่สวย  แต่ชอบสีที่ได้จนอยากวาดภาพและใช้สีแบบนี้เลยล่ะ


ลองเอารูปที่ลงสีมาเทียบให้ดูว่าพอเอาไปบิดเบี้ยวในโปรแกรมคอมพ์แล้วออกมาแบบนี้ :)

17 พฤศจิกายน 2555

ชอบรูปไหนมากกว่ากันคะ :>

หลังจากบ่นๆไปว่าอยากศึกษา Photoshop เพิ่มขึ้น



ถึงตอนนี้....ก็ยังไม่ได้เริ่มหยิบจับอะไรหรอก ได้แต่เอาภาพมาลองเล่นในโปรแกรมสำเร็จรูป Photoscape เหมือนเคย อิอิ ;p
 

เริ่มจาก วาด-ระบายสี (ใช้สี Gouache ตราน้องหมาจุดที่เพื่อนให้มา) - ตัด - แปะ ( ที่ตัดแปะก็คือเจ้าผีเสื้อสองตัว)  ออกมาก็ชอบ  แต่ยังไม่ชอบสีเท่าไหร่  คงเพราะมันสดไปมั้งคะ 


เอมโม่อยากให้มันหม่นกว่านี้   แต่ก็แก้ไม่ได้แล้วเลยเอาไปเล่นในคอมพ์ฯต่อ  ออกมาเป็นรูปทางขวา   ชอบเลย...ชอบที่มันดูหม่นขึ้น

ไม่รู้ว่าคนที่เห็นรูปนี้   ชอบภาพด้านซ้ายหรือด้านขวามากกว่ากัน (อยากรู้จัง) ^ ^





15 พฤศจิกายน 2555

ชวนอ่าน : คืนฝนลวง



มิจิโอะ ซุสุเกะ  ยังคงสร้างความประทับใจให้คนอ่านคนนี้ได้เหมือนเคย...สมกับที่คว้าตำแหน่งนักเขียนขวัญใจอีกคนของเรา


คืนฝนลวง...คืนที่ฝนพรำ  มังกรและปีศาจออกมาจับจ้องเหตุการณ์ฆาตกรรมที่เกิดขึ้นและล่อลวงผู้เขลาให้ตกเป็นเหยื่อ คืนนั้น  ฆาตกรรมที่พี่ชายคาดว่าจะลงมือกับพ่อเลี้ยงไม่เกิดขึ้น  แต่น้องสาวกลับเป็นผู้ลงมือกระทำเอง....เรื่องราวจะดำเนินต่อไปอย่างไร   มังกรและปีศาจจะมาล่อลวงตัวละครในเรื่องอย่างไรเป็นเรื่องที่ต้องตามอ่านดูเท่านั้น


ถึงจะเล่ามาแบบนี้  แต่มังกรและปีศาจที่เล่ามาก็ไม่ได้ออกมาให้เห็นชัดเจน  คนต่างหากที่กลายเป็นปีศาจไป...คุณมิจิโอะ ซุสุเกะใส่บรรยากาศเหนือจริงและลึกลับไว้ในนิยายของเขาเช่นเคย  และไม่ได้หลอกล่อความรู้สึกของตัวละครเท่านั้น  แต่คุณมิจิโอะ ซุสุเกะยังล่อหลอกให้คนอ่านได้รู้จักธาตุแท้ของตัวเองในขณะที่อ่านงานชิ้นนี้ของเขาด้วย  ฉันเชื่อว่าสิ่งที่คนอ่านจินตนาการล่วงหน้าไปคู่กับเรื่องนี้จะสะท้อนให้รู้ว่าคนอ่านเองนั้นมีทัศนคติอย่างไรต่อมนุษย์ด้วยกัน   และได้ปล่อยตัวเองให้ปีศาจในใจหลอกล่อครอบงำเข้าหรือเปล่า      


 ถึงจะไม่ได้หม่นและลึกลับขนาด “ฤดูร้อนซ่อนเงา”   แต่ “คืนฝนลวง”เป็นอีกงานของ มิจิโอะ ซุสุเกะ ที่ยังแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของเขาที่จะเขียนนิยายสะท้อนถึงจิตใจที่ยากแท้ที่จะหยั่งถึงของมนุษย์เรา

คืนฝนลวง (Ryujin No Ame)
มิจิโอะ ซุสุเกะ : เขียน
จันทิมา ทะคิโมะโตะ : แปล
สนพ.บลิส พับลิชชิ่ง ( J Book)

13 พฤศจิกายน 2555

ลองศึกษาโปรแกรม Photoshop กับเค้าบ้างจะดีไหมนะ

หมู่นี้เริ่มคิดว่าจะลองศึกษาโปรแกรม Photoshop กับเค้าบ้างจะดีไหมนะ

ส่วนตัวแล้วชอบงานวาดมือ  แต่ก็รู้สึกว่างานวาดมือเนี่ย...เอาไปเล่นเพิ่มต่อในโปรแกรมคอมพ์ฯได้อีกเยอะให้มันสนุกสนานขึ้น  เปลี่ยนความรู้สึกให้รูปได้อีก   อืม  หรือว่า...ถ้าอยากได้งานหลากหลายขึ้น ควรจะเรียนโปรแกรม Illust. กันแน่หว่า


โอ๊ย  พูดถึงโปรแกรมตอมพิวเตอร์ที่ไม่ใช่โปรแกรมเล่นสนุกกับรูปแบบสำเร็จรูปเหมือน Photoscape แล้วมึนนัก


ที่บ่นมาเนี่ยเหมือนเป็นพวกทำงานวาดรูปเลยใช่ไหม  แต่ที่จริงคือมือสมัครเล่่นแท้ๆเลยล่ะ แหะ แหะ

เอ้า  ในเมื่อเล่นเป็นแค่ Photoscape เราก็เอาเท่าที่ทำได้ก่อน   รูปนี้วาดและลงสีด้วยเส้นดินสอ  2B  แล้วเอามาทำภาพเพิ่มในโปรแกรม Photoscape  สนุกดี แต่ก็อายนะ  ทำรูปในคอมพ์ฯเป็นแค่นี้เอง :P



30 ตุลาคม 2555

ฝึกความอดทน

พยายามฝึกความอดทนและดัดนิสัยตัวเองให้ละเอียดลออขึ้น....ยังไม่สำเร็จกับรูปนี้...

แต่ขณะที่วาดไปถึงจุดหนึ่งก็รู้สึกขึ้นมาว่าตัวเองใจเย็นขึ้นเยอะ  เมื่อเทียบกับการหัดวาดเมื่อปลายปีก่อน





24 ตุลาคม 2555

ชวนอ่าน : Bel Canto อุบัติรักข้ามขอบฟ้า





หลังจากการ”ดอง” หนังสือเล่มนี้ไว้บนชั้นเกือบห้าปี  ในที่สุดฉันก็เริ่มอ่าน  อ่านไปเรื่อยๆตั้งแต่เริ่มงานสัปดาห์หนังสือฯจนจบก่อนงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติสิ้นสุด

ในช่วงแรกของ “เบล แคนโต้ “  ฉํนต้องฝืนตัวเองให้อ่านนิยายเรื่องนี้ไปตามจังหวะที่เนิบนาบ  บทบรรยายของผู้แต่งดำเนินไปในจังหวะที่ฉันไม่นิยมนัก  แต่พอได้ทำความรู้จักกันไปสักสามสิบหน้า  ฉันก็เริ่มคุ้นเคย....สายตาและความคิดฉันก็เต้นเข้ากันกับจังหวะเนิบนาบละเมียดละไมนี้

เบล แคนโต้  เริ่มเรื่องด้วยบรรยากาศในงานเลี้ยงวันเกิดแขกคนสำคัญของประเทศประเทศหนึ่ง  ในงานเต็มไปด้วยสิ่งหรูหราสวยงามที่ระดมมาตกแต่งในงานเพื่อหวังจะให้แขกชาวญี่ปุ่น ผู้เป็นเจ้าของบริษัทใหญ่ประทับใจและหันมาลงทุนในประเทศยากจนแห่งนี้     นักร้องโอเปร่าสาวผู้โด่งดังที่นักธุรกิจใหญ่ผู้นี้ชื่นชอบได้รับเชิญมาร้องเพลงในงาน   สิ่งสวยงาม...บทเพลงไพเราะจับใจเคลือบสีสันให้งานเลี้ยงนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศรื่นเริง  แต่แล้วผู้ก่อการร้ายกลุ่มหนึ่งได้แฝงเข้ามาในงานและจับตัวทุกคนเป็นตัวประกัน

ตัวประกันจำนวนหลายร้อยคนมันมากเกินไป  ผู้ก่อการร้ายจึงปล่อยตัวประกันส่วนใหญ่ไป  เหลือไว้แต่คนสำคัญที่ใช้ต่อรองได้  แต่แล้วการต่อรองที่ผิดแผนนั้นก็ดำเนินยืดเยื้อไปกว่าสี่เดือน 

เราคาดหวังว่าเวลากว่าสี่เดือนนี้...ภายในบ้านหลังใหญ่ที่จัดงานเลี้ยง....ชีวิตของตัวประกันซึ่งมีทั้งนักธุรกิจ ล่าม นักร้อง นักการเมืองกับผู้ก่อการร้ายที่มีผู้นำกองกำลังเป็นนายพลไม่กี่คนกับเด็กที่อายุเพียงเพิ่งแตกหนุ่มและสาวน้อยที่ซ่อนใบหน้าสวยหวานไว้ใต้หมวกและชุดทหารจะดำเนินไปอย่างไรกัน   

แน่ละ...  ความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันระหว่างผู้ก่อการร้ายและตัวประกัน  ความตระหนักถึงชีวิตของตนเองเมื่ออยู่ภายนอกกำแพงที่ขังไว้กับชีวิตภายในรั้วกำแพงในฐานะตัวประกัน...รวมไปถึงความรัก  ความรู้สึกทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่ผ่านเข้ามาในทุกชีวิตของตัวละครจนตัวละคร (และคนอ่านเอง) ก็เคลิ้มไปกับเรื่องราวในกำแพงนั่นและอยากให้ทุกอย่างในกำแพงนั่นยังคงเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลงไป

แต่ความเป็นจริงบนโลกใบนี้  มันยอมให้เราเป็นอย่างที่เราหวังหรือ...นั่นเป็นสิ่งที่คนอ่านต้องพบคำตอบเองจากหนังสือนิยายเล่มนี้ที่เขียนโดยแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จับตัวประกันในประเทศเปรูเมื่อปี ค.ศ. 1996  ที่เราเรียกได้ว่าเรื่องราวการจับตัวประกันในนิยายแทบจะถอดมาจากเหตุการณ์ครั้งนั้นเลยทีดียว  ผู้แปลเล่าว่าเมื่อเธอค้นหาข้อมูลเพิ่ม  เธอพบว่าในฉากจบ  ในสนามฟุตบอลที่มีภาพเด็กผู้ชายเล่นฟุตบอลกันอยู่นั้น  มันเหมือนกับเหตุการณ์จริงเลยทีเดียว

เบล แคนโต้ : อุบัติรักข้ามขอบฟ้า หรือ Bel Canto ในฉบับภาษาอังกฤษ (ที่มาจากภาษาอิตาเลียนที่แปลว่าการขับร้องที่ไพเราะ)
Ann Patchett  : เขียน
จิตราภรณ์ วนัสพงศ์ : แปล
แพรวสำนักพิมพ์  , 2547

หมายเหตุ : เหตุการณ์จับตัวประกันในเปรูครั้งนั้น อ่านเรื่องราวแบบไม่เจาะลึกได้จาก link นี้ค่ะ
http://en.wikipedia.org/wiki/Japanese_embassy_hostage_crisis

20 ตุลาคม 2555

วาดสนุกกับใบไม้ - ใบว่านธรณีสาร

หลังจากเอาสีผสมอาหารเก่ามาใช้วาดรูปหลายรอบ

ได้ฤกษ์เล่นแบบเด็กๆอีกครั้งโดยครั้งก่อนระบายสีลงบนใบไม้แล้วประทับใบไม้ลงบนกระดาษ...เสร็จแล้วเราก็ค่อยมาดูว่าจะวาดภาพต่อให้ออกมาเป็นรูปอะไร  แต่คราวนี้ร่างภาพไว้แล้วค่อยประทับลายใบไม้ลงไป

ก่อนนี้เคยใช้ใบแสงจันทร์มาเล่น  ลายใบไม้ชัดดี   พอมาลองใช้ใบไม้สัมผัสละเอียดอย่างใบว่านธรณีสารที่ร่วงจากต้นมาเเล่นแทน  พอประทับลงไปแล้วไม่ค่อยเห็นแฮะ  ไม่รู้ว่าเพราะผิวใบไม่ซับสีหรือเพราะใบที่ใช้มันแห้งกรอบเกินไปแล้ว

ยังไม่เหมือนอย่างที่ใจคิด แต่ก็สนุกดี  ใช้เฉพาะสีชมพูทาใบไม้  แล้วแต้มสีเหลือง สีเขียวเพิ่มลงไป


ถึงยังไม่ได้อย่างใจแต่ก็คิดว่าอยากจะลองเล่นแบบนี้สักหลายๆที :)

คราวนี้ร่างภาพไว้ก่อนแล้วค่อยคิดว่าจะเอาใบอะไรใช้เป็นพิมพ์ประทับ  เลือกเอาใบว่านธรณีสารสัมผัสละเอียดมาใช้

เสร็จแล้ว :)   ลงสีพื้นกับตัวคนและเก้าอี้ด้วยสีน้ำ

13 ตุลาคม 2555

The Giving Tree...My Giving Tree


 เคยเล่าเรื่องไว้ใน http://whitemomo.multiply.com (May 16, 2008)



'Once there was a tree...and she loved a little boy.'



ใน บล็อกที่แล้ว เพื่อนเคนเน็ธบอกว่าไม่ชอบอ่านตัวหนังสือ...ชอบดูภาพมากกว่า...หนังสือภาพ เป็นสิ่งแรกที่เอ็มนึกถึงก่อนที่จะนึกถึงรูปถ่ายดีๆที่แทนคำนับล้าน

...และ หนังสือภาพเล่มแรกที่เอ็มคิดถึงคือหนังสือเล่มนี้ค่ะ...หนังสือที่เอ็มกับ เค้าทำความรู้จักกันครั้งแรกเมื่อเกือบสิบปีก่อน...และการทำความรู้จักกัน ครั้งแรกก็เป็นการยืนอ่านหนังสือเล่มนี้ (ซึ่งยังไม่ได้ซื้อ) ที่ร้านคิโนะคูนิยะ สาขาอิเซตัน....เราทำความรู้จักกันด้วยภาษาไทยก่อนด้วยฉบับแปล....และด้วย น้ำตาที่ไหลแบบต้องหลบซ่อนกลางร้านหนังสือในทันทีที่เรารู้จักกันแค่ 2 นาที

The Giving Tree ของ Shel Silverstein คือเค้านั้นค่ะ

หลายคนอาจไม่คุ้นชื่อคนแต่ง...แต่ถ้าพูดถึงหนังสือ The Missing Piece หรือ The Missing Piece Meets the Big O เรื่องของวงกลมแหว่งๆที่ตามหาสิ่งที่ขาดหายมาเติมเต็ม และเรื่องของสามเหลี่ยมแล็กๆที่ลองพยายามฟิตกับหลายสิ่งที่ผ่านมาบนทางของเขา....คิดว่าหลายคนคงนึกออก เพราะเมื่อหลายปีก่อน หนังสือ 2 เล่มนี้โดยเฉพาะ The Missing Piece  ถูก แปลงแล้วส่งต่อผ่านอินเตอร์เน็ทไปทั่ว...เรื่องราวของวงกลมเว้าแหว่งกินใจคน เกือบทุกคนที่กำลังตามหาใครซักคนหรือที่ใดซักที่ซึ่งจะเติมชีวิตให้สมบูรณ์

...แต่ The Giving Tree ไม่ใช่เรื่องราวแบบนั้นค่ะ ;-)



...ไม่รู้ว่าเพราะลายเส้นที่ชัดเจนและถ้อยคำ น้อยแต่มาก หรือเปล่า The Giving Tree เลยถูกตีความไปหลายอย่างตามแต่ว่าเราจะจินตนาการว่า The Tree คือ ใคร คืออะไร ....เอ็มเองอ่านหลายรอบ...หลังๆก็ตีความมันต่างไปจากเดิมได้เรื่อยๆ...แต่ ความรู้สึกแรกที่ได้อ่านน่าจะเป็นความรู้สึกสุดพิเศษที่ทำให้รักหนังสือเล่ม นี้มาตลอด

The Giving Tree มีเรื่องราวสมชื่อค่ะ...ต้นไม้ที่มีแต่ให้...

ลอง หาอ่านกันดูนะคะ...แล้วเราจะพบกับความรักที่มีแต่ให้...ความรักที่ล้นออกมา จากภาพลายเส้นไม่กี่หน้า...ถ้อยคำไม่กี่ประโยคซึ่งพิสูจน์ให้เห็นพลังของภาพ และความสามารถของนักเขียน....แล้วเรามาลองคุยกันดูดีกว่าว่า เราคิดว่า The Tree คือใคร...และ The Boy ในเรื่องนั้นคือใคร...ถ้าอ่านฉบับภาษาอังกฤษไปเลยจะยิ่งดีค่ะ...ภาษาที่ใช้ไม่ยาก (เพราะยาก เอ็มก็คงอ่านไม่ได้  ;p )

วันนี้ ของทุกปีเป็นวันพิเศษของเอ็มค่ะ...เลยอยากเขียนถึงเรื่องนี้...เพราะวันนี้ เป็นวันที่เตือนให้เอ็มนึกถึงความรักมากล้นของ The Giving Tree ของเอ็ม ^__^”

...ถ้าสนใจหนังสือของ Shel Silverstein ....ก็ ลองทำความรู้จักเค้าผ่านเว็บไซต์นะคะ...เพราะเว็บไซต์นี้พิเศษตรงที่เราจะ ได้ลองอ่านหนังสือภาพของเค้า 2-3 หน้าแรกแบบเคลื่อนไหวได้ด้วย...เสียดายแต่ Shel เสียชีวิตลงแล้วค่ะ โลกจึงขาดคนที่สร้างสรรค์ลายเส้นและเรื่องราวกินใจผ่านหนังสือและบทเพลงไปอีกคน  (คนที่รักเสียงเพลงอาจจะรู้จักเค้าในอีกมุมนะคะ ....เพราะ Shel Silverstein เป็นคนแต่งเพลงชื่อ A Boy Named Sue ที่ขับร้องโดย  Johnny Cash ค่ะ)


12 ตุลาคม 2555

ชวนอ่าน : ตำนานแห่งป่าอันสาบสูญ




มีหลายครั้งที่เสียงลึกลับจะกระซิบเรียกเราให้เดินไปทางนั้น ทางนี้   ไม่ว่าไปแล้วจะพบเรื่องดีหรือเรื่องร้าย...แต่เราจะได้พบกับอะไรสักอย่างหนึ่งที่มีความหมายต่อเราแน่นอน  ฉันเชื่ออย่างนั้น

ดังนั้น  เมื่อเสียงกระซิบเรียกอีกครั้ง  ฉันซึ่งเคยเชื่อและได้พบหนังสือที่อยากได้ซ่อนตัวอยู่ในกองหนังสือเก่าบนแผงขายของในตลาดนัดจึงไม่รีรอที่จะเดินตามเสียงเรียกนี้ไปอีก

แล้วฉันก็เจอหนังสือเล่มนี้  หนังสือที่ถ้าเห็นบนชั้นในร้านหนังสือใหม่ก็อาจจะไม่ลองเปิดอ่าน  ไม่ว่าปกหลังจะโปรยว่าหนังสือเล่มนี้ได้รางวัล Newbery Honor 2009,   ALA Notable Children’s Book 2009 หรือเข้ารอบสุดท้ายของรางวัล National Book Award 2008

แต่ฉันก็ยอมรับว่าท่ามกลางกองหนังสือหลากหลาย ป้ายราคาหนึ่งร้อยบาท กับสีเทาอมเงินของตรารางวัล Newbery Honor Book ที่แปะอยู่บนปกหน้านั้นส่องประกายอ่อนๆ เตะตาชวนให้ฉันหยิบพลิกเปิดดู

ฉันซื้อหนังสือเล่มนี้เพราะคำอุทิศของผู้เขียนที่ว่า “แด่ เกรกและซินเทีย  เพราะมีความรักและมีแมว  แล้วสองสิ่งนั้นไม่เหมือนกันหรือ  -เค.เอ.”    ....และบทเริ่มต้นของเรื่องที่ว่า

“ไม่มีอะไรเหงาไปกว่าแมวตัวหนึ่งซึ่งเคยได้รับความรัก  อย่างน้อยก็พักหนึ่ง แล้วจึงถูกทิ้งไว้ข้างถนน  แมวสามสีเล็กๆตัวหนึ่ง  ครอบครัวของเธอ  ครอบครัวที่เธอเคยอยู่ด้วยทิ้งเธอไว้ในป่าเก่าแก่ที่ถูกลืมแห่งนี้  ป่าที่ฝนกำลังตกจนขนนุ่มของเธอเปียกโชกอยู่นี้....”

The Underneath หรือชื่อ “ตำนานแห่งป่าอันสาบสูญ” ในฉบับภาษาไทยคือหนังสือเล่มที่ว่า

ชื่อเรื่อง The Underneath ในต้นฉบับภาษาอังกฤษนั้นดูจะสอดคล้องและ “ใช่” กับเรื่องราวในเรื่อง  แต่ชื่อของฉบับภาษาไทยก็คงช่วยให้หนังสือขายได้ง่ายขึ้นมากขึ้นกระมัง (ในความคิดของสำนักพิมพ์)

เรื่องราวของความรัก ความผูกพันของแมวสามสีที่ถูกทอดทิ้ง  ลูกๆของเธอ และหมาล่าเนื้อแก่ที่ถูกโซ่ล่ามไว้ตลอดเป็นเวลาหลายปี  หมาล่าเนื้อที่ร้องเพลงได้ไพเราะและเศร้าโศกกว่าใคร

ไม่ใช่แค่หมาแก่  แต่ในป่ายังมีปีศาจในร่างมนุษย์  ยายงูเก่าแก่ที่ถูกฝังอยู่ใต้ต้นสนอายุพันปี  เจ้าแห่งจระเข้ผู้ยิ่งใหญ่  และเรื่องราวเมื่อหนึ่งพันปีก่อนที่ต้นไม้ยังคงขับขานเล่าเรื่องราวแก่กันผ่านสายลม...ยัง ยังไม่หมด  ห้วยระทมน้อยนั่นอีกล่ะ  สถานที่เกิดเรื่องน่าเศร้าใจเมื่อหนึ่งพันปีก่อน

เมื่ออ่านจบ...ฉันอยากได้ฉบับภาษาอังกฤษมาเก็บไว้อ่านซ้ำเพราะชอบใจบทเพลงที่หมาแก่ในเรื่องร้อง บทเพลงที่กระซิบชวนแมวสามสีเดินเข้ามาลึกในป่าและเรื่องราวอีกหนึ่งเรื่องก็เริ่มต้นและจบลงภายในป่าและห้วยระทมน้อยนั่นเอง

เล่ามาขนาดนี้  คนที่มาอ่านก็คงรู้แล้วว่าฉันชอบหนังสือเล่มนี้หรือไม่

The Underneath หรือ “ตำนานแห่งป่าอันสาบสูญ”
Kathi Appelt เขียน
ธารพายุ แปล
สนพ. แพรวเยาวชน

ปกฉบับภาษาอังกฤษและภาพประกอบในเรื่องโดย David Small
ออกแบบปกฉบับภาษาไทย โดย นฤมล เสือแจ่ม